เมื่อทางภาครัฐเริ่มเปิดประเทศ เพื่อรับกลุ่มนักเดินทางตามเงื่อนไขของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในมุมมองของผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมหวังที่จะให้เกิดการกระตุ้นในกลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุในแต่ละเฟส เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมหมุนเวียนไปได้ทันกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ในเรื่องนี้ได้มีกูรูด้านท่องเที่ยวต่างแนะนำถึงทางรอดของท่องเที่ยวไทยไว้อย่างน่าสนใจ
จัดทำ Covid-19 Passport
ทั้งนี้ นายเชิ้ท คว้อนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป กล่าวว่า บันยัน หัวหินได้ส่งเสริมการบริการที่พักอาศัยและสนามกอล์ฟสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีประมาณ 80% ของธุรกิจที่มาจากต่างประเทศ แต่ด้วยเวลานี้ทั่วโลกต่างติดปัญหาในเรื่องของการเปิดพรมแดนข้ามประเทศของนักเดินทาง จึงทำให้ทางบันยัน หัวหิน ซึ่งมีจุดขายตรงที่เป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตชั้ระดับลักชูรี่ หันมาทำตลาดในประเทศ โดยเริ่มต้นเปลี่ยนบันยันวิลเลจซึ่งก่อนหน้านี้เป็นรีสอร์ท พูลวิลล่าส่วนตัว 17 หลัง และบ้านพักติดสระว่ายน้ำลากูนข้างสระ 69 หลัง มาเป็นการบริการที่พักระยะยาวให้เช่า 25,000 บาทต่อเดือน
อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการปรับกลยุทธ์ของบันยันหัวหิน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแล้ว ในมุมมองของการเปิดประเทศ เพื่อรับกลุ่ม Travel Buble นั้นน่าจะเป็นทางออกที่ดีของประเทศไทย ซึ่งถ้ามีการควบคุมที่ดี ในการดำเนินชีวิตที่มีสุขภาพดี อย่าง การจัดทำ international travel buble แทนที่จะจัด travel buble น่าจะเป็นทางเลือกแรก โดยมีการทำหนังสือเดินทางในรูปแบบ Covid-19 Passport เพื่อสร้างความมั่นใจ ว่า นักเดินทางมีสุขภาพดีและปลอดภัยจากไวรัสโควิ-19
ชูโมเดลเชิงรุกแบบไร้ไวรัส
ด้าน นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงยุทธศาสตร์ฟื้นฟูการท่องเที่ยวเชิงรุกแบบเร่งด่วนภายใต้ภูเก็ตโมเดล ว่า เป็นการสร้างทางรอดให้กับการท่องเที่ยวไทย ในการที่จะนำไปเป็นโมเดลนำร่องให้กับการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคอื่นๆ ได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ท่องเที่ยวต่อไป ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นการผลักดันให้ทางภาครัฐอนุญาตเปิดน่านฟ้าข้ามประเทศ รับเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำ หรือ ชาร์เตอร์ไฟท์ กับ ไพรเวทเจ็ท ในกลุ่มที่แจ้งความประสงค์ เพื่อที่จะบินมาเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต และยินยอมกักตัว 14 วัน ซึ่งในประเด็นดังกล่าวนี้ ถ้าภาครัฐเห็นด้วยกับข้อกำหนดที่จะนำไปเสนอทางจังหวัดภูเก็ตก็มีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที
“เวลานี้มีนักท่องเที่ยวในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง แจ้งความจำนงค์ที่จะนำไพรเวทเจ็ทบินมาลงที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต และยินยอมที่จะกักตัว 14 วันตามข้อกำหนดของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข หรือ Alternative State Quarantine และยินยอมชำระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดระหว่างกักตัวโดยความสมัครใจ ซึ่งถือเป็นโอกาสของภูเก็ตที่ได้กลุ่มที่มีคุณภาพ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมตามข้อกำหนดของรัฐบาลที่จะอนุญาตให้เปิดน่านฟ้าได้” นายภูมิกิตติ์ กล่าว
โดย นายภูมิกิตติ์ กล่าวว่า จากการหารือกับผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวในทุกๆ ด้านของภูเก็ต ได้มีข้อสรุปที่จะนำไปยื่นให้กับภาครัฐ เพื่อนำไปพิจารณาถึงการเปิดน่านฟ้ารับนักท่องเที่ยวในกลุ่มชาร์เตอร์ไฟท์ และไพรเวทเจ็ท โดยจะอยู่บนพื้นฐานของหลักการที่ทางจังหวัดภูเก็ต ได้นำเสนอด้วยกัน 4 ข้อ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทางภาครัฐยินยอมที่จะให้เปิดน่านฟ้าได้ภายในเดือนตุลาคม 2563 นี้
ส่วน นาย ศุภฤกษ์ ศูรางกูร นายกสมาคมการค้าธุรกิจที่พักบูติกไทย (TBAA) กล่าวว่า การท่องเที่ยวเชิงรุกในสภาวะวิกฤติโควิด-19 ในเวลานี้ คงจะต้องรีบดำเนินการ เนื่องจากผู้ประกอบการในส่วนของ ผู้ประกอบการรายย่อย หรือ เอสเอ็มอี คงไม่สามารถประคองธุรกิจไปได้นานมากนัก ดังนั้นการหาทางรอดธุรกิจระหว่างที่ยังหาบทสรุปของการเปิดน่านฟ้า เพื่อรับกลุ่มนักท่องเที่ยว Travel Buble ยังไม่ลงตัว จึงเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาด้วยชาร์เตอร์ไฟท์ หรือ ไพรเวทเจ็ท แต่ทั้งนี้และทั้งนี้ คงต้องขึ้นอยู่กับมาตรการการควบคุมโรคระบาดที่จะต้องอยู่ในเงื่อนไข และกรอบที่รัฐบาลกำหนดไว้ได้เป็นอย่างดี