เผยแพร่:
ปรับปรุง:
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
ช่วงเวลากระแส บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) ดูเงียบๆ ลงไป และ อเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) เกิดข่าวลือควอเตอร์แบ็กย้ายสังกัดจ้าละหวั่น แต่ก็ยังไม่สามารถประกาศอย่างเป็นทางการได้ ตามกฎของลีก จึงขอโอกาสนำเสนอประเด็นเบาๆ อย่างการรีวิวภาพยนตร์ “วอเตอร์บอย (Waterboy)” ซึ่งผมมักจะนั่งดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์
ภาพยนตร์เกี่ยวกับ อเมริกันฟุตบอล มีอยู่หลากหลาย อาทิ เจอร์รี แม็คไกวร์(1996) ของ ทอม ครูซ, เดอะ รีเพลซเมนต์ (2000) ของ เคียนู รีฟส์ และ เดอะ คอนคัสชัน (2015) ของ วิลล์ สมิธ เป็นต้น ซึ่งดารานำแต่ละเรื่องที่ยกมานั้น แฟนๆ หนังชาวไทย ย่อมรู้จักกันดี ตามปกติโทนหนังแนวกีฬา มักจะปลุกใจคนขี้แพ้ ลุกขึ้นมาพิสูจน์คุณค่าตัวเอง เพื่อสัมผัสความสำเร็จ หลังเหน็ดเหนื่อยและอดทนกับเสียงต่อว่า, ดูถูก และเหยียดหยามต่างๆ นานา
เรื่องราวของ “วอเตอร์บอย (Waterboy)” มีอยู่ว่า บ็อบบี บูเชร์ (แสดงโดย อดัม แซนด์เลอร์) เด็กหนุ่มมาดเนิร์ด อาศัยอยู่ที่บ้านกับคุณแม่ 2 คน และมักถูกล้างสมองด้วยคำว่าสิ่งต่างๆ เปรียบเสมือน “ปิศาจร้าย (Devil)” ทำหน้าที่เสิร์ฟน้ำแก่นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งผลงานห่วยแตก แถม โค้ชไคลน์ ยังดูท่าทางเสียอาการ เนื่องจากถูก โค้ชเรด เพื่อนรัก แย่งสมุดจดแผนการเล่นที่ตนคิดค้นขึ้น นำไปปลุกปั้นคู่แข่งจนไร้เทียมทาน
วันหนึ่ง โค้ชไคลน์ เห็น บ็อบบี บูเชร์ ถูกลูกทีมรังแก จึงสอนให้รู้จักตอบโต้ เพื่อป้องกันตัวเอง มิฉะนั้นก็จะโดนกลั่นแกล้งอยู่ร่ำไป และเห็นแววของ บูเชร์ จากการพุ่งเข้าแท็คเกิลควอเตอร์แบ็กประจำทีมเพื่อเอาคืน จึงทาบทามเข้าร่วมทีม สอนกติกา กับ วิธีการเล่น พร้อมจับลงตำแหน่งไลน์แบ็คเกอร์ กระทั่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของทีมรับ และเอาชนะ ทีมของโค้ชเรด ด้วยแผนพลิกแพลงส่ง บูเชร์ ขว้างบอลให้ ควอเตอร์แบ็ก รับทัชดาวน์
ทุกครั้งที่ผมดู Waterboy ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็คิดเสมอว่าเป็นหนักตลกธรรมดาๆ หายเครียดแล้วก็จบไป กระทั่ง 2-3 วันก่อน ได้เห็นเรื่องราวของ ริช ออร์นเบอร์เกอร์ ออฟเฟนซีฟ ไลน์แมนระดับ NFL ออกมาเผยว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก บ็อบบี บูเชร์ จึงเลือกเส้นทางนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก หรือสนใจกีฬาประเภทนี้มาก่อน กระทั่งเข้าเรียนมัธยมต้น และชมภาพยนตร์ซึ่งออกฉาย ปี 1998
ออร์นเบอร์เกอร์ รีทวีตคลิป อดัม แซนด์เลอร์ หวดลูกกอล์ฟฉลองครบรอบ 25 ปีของ “Happy Gilmore” ภาพยนตร์แนวกีฬาอีกเรื่องหนึ่ง แล้วพิมพ์ข้อความ “เรื่องจริง ภาพยนตร์ Waterboy ชักจูงให้ผมคัดตัวเข้าทีมฟุตบอลระดับมัธยมต้นของโรงเรียน แล้วจบที่ NFL ขอขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
ด้วยจิตวิญญาณ บ็อบบี บูเชร์ ตัวเอกของเรื่อง ออร์นเบอร์เกอร์ หนุ่มชาวเมืองอีสท์ เมโดว์ส รัฐนิว ยอร์ก เล่นอเมริกันฟุตบอลให้ มหาวิทยาลัยเพนน์ สเตท คว้าแชมป์ บิ๊กเทน ปี 2008 ติดทีมยอดเยี่ยมคอนเฟอเรนซ์ ชุดที่ 2 ปี 2007 และชุดที่ 1 ปี 2008 ก่อนถูก นิว อิงแลนด์ แพทริออตส์ คัดเลือกรอบ 4 ปี 2009 ย้ายไป อริโซนา คาร์ดินัลส์ ปี 2012 และจบอาชีพแค่ 6 ซีซัน กับ ซาน ดีเอโก ชาร์เจอร์ส ปี 2014 ลงเล่น 36 เกม ฟันรายได้รวม 3.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 108 ล้านบาท
มุกสำคัญของภาพยนตร์ Waterboy คือ จินตนาการ ซึ่ง บ็อบบี บูเชร์ ถูกสอนว่าให้แปรเปลี่ยนผู้เล่นฝั่งตรงข้าม เป็นคนที่คอยบูลลีตน แล้วแท็คเกิลให้หนัก หรือ โค้ชไคลน์ ซึ่งกลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยากต่ออาชีพเรียบร้อยแล้ว มองหน้า โค้ชเรด เป็นสิ่งที่ตนไม่กลัว แล้วแก้เกมสู้ เปรียบกับชีวิตจริง คือ หากคุณจมอยู่กับความหวาดกลัว และความขี้แพ้ ก็จะไม่มีวันเอาชนะ หรือประสบความสำเร็จได้เลย