ฟูแล่ม หวนกลับสู่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาปราบ เบรนท์ฟอร์ด 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที หลังจากเสมอกันในเวลา 90 นาที 0-0 ในเกมเพลย์ออฟ นัดชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันอังคารที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา
ความสำเร็จของ “เจ้าสัวน้อย” ต้องขอบคุณผลงานชั้นยอดของ โจ ไบรอัน ที่สวมบทฮีโร่ซัด 2 ประตูสำคัญทำให้พวกเขาได้เลื่อนชั้น หลังจากร่วงตกชั้นเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ในขณะที่ “ผึ้งเพชฌฆาต” ต้องผิดหวังซ้ำซากกับการเล่นเกมเพลย์ออฟเป็นครั้งที่ 9 เข้าไปแล้ว
ขณะเดียวกันความเจ็บช้ำของ เบรนท์ฟอร์ด ส่วนหนึ่งมาจากการเล่นที่ผิดพลาดของ ดาบิด ราย่า ผู้รักษาประตูชาวสแปนิช ที่ตัดสินใจพลาดในจังหวะเสียประตูแรก และนำไปสู่การที่ทำให้ทีมต้องตกเป็นรอง จนบานปลายกลายเป็นความพ่ายแพ้ในที่สุด
1. ไบรอันสวมบทฮีโร่
หลังจากผ่านไป 104 นาทีทั้งสองทีมยังคงอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเนื่องจากสกอร์ยัง 0-0 และงานนี้คงต้องอาศัยจังหวะพิเศษเพื่อที่จะได้ประตู โดยเป็นฝั่งฟูแล่มที่ได้ทีเด็ดจาก โจ ไบรอัน แบ็กซ้ายคนสำคัญที่โชว์สายตาเฉียบคมส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายให้ทีมขึ้นนำไปก่อน
ประตูดังกล่าวเริ่มต้นจากตอนที่ “เจ้าสัวน้อย” ได้ฟรีคิกบริเวณริมเส้นห่างจากประตูประมาณ 40 หลา และ ไบรอัน รับหน้าที่เตะ โดยจากท่าทางการยืนของเขาแล้วดูเหมือนว่าจะเปิดบอลเข้าไปที่หน้าประตู นั่นจึงทำให้ ดาบิด ราย่า โกลชาวสแปนิช พยายามที่ขยับออกมาจากหน้าประตู
ตอนนั้น ไบรอัน คงเห็น ราย่า ออกมามากเกินไปก็เลยเปลี่ยนใจจัดการซัดด้วยซ้ายส่งบอลข้ามกำแพงก่อนเข้าไปซุกก้นตาข่าย ชนิดที่ นายด่านเลือดกระทิงดุ ไม่ทันระวัง และพอเห็นบอลอีกครั้งก็สายไปซะแล้ว เพราะมันพุ่งเข้าประตูไปหน้าตาเฉย
จังหวะดังกล่าวแน่นอนว่า ราย่า ต้องรับผิดชอบเต็มๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยกเครดิตให้กับ ไบรอัน ที่คิดเร็วทำเร็ว ที่สำคัญแบ็กซ้ายตัวเก่งยังซัดอีกประตู โดยนี่เป็นครั้งแรกที่นักเตะซัดได้ 2 ประตูในอาชีพพ่อค้าแข้ง ก็ถือว่าสวมบทฮีโร่ได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ
2. เบรนท์ฟอร์ด จอมผิดหวังเกมเพลย์ออฟ
มีสโมสรฟุตบอลอาชีพทีมไหนในโลกใบนี้ที่จะเกลียดการเล่นเกมเพลย์ออฟมากไปกว่า เบรนท์ฟอร์ด อีกไหม ? เพราะนี่คือทีมที่ถูกอาถรรพ์เกมเพลย์ออฟตามมาหลอกหลอนถึง 9 ครั้ง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาไม่อยากจะมาเล่นเกมแบบนี้อีกต่อไป
การที่ทัพ “ผึ้งเพชฌฆาต” ต้องพ่ายแพ้ให้กับ ฟูแล่ม 1-2 ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันอังคารที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาต้องพบกับความเจ็บปวดในการเล่นเกมเพลย์ออฟไปแล้วทั้งสิ้น 9 ครั้งในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร ขณะเดียวกันนี่ยังเป็นครั้งที่ 6 ที่ เบรนท์ฟอร์ด แพ้คาสนามกีฬาแห่งชาติอังกฤษ ทำลายสถิติของ ชรูว์สบิวรี่ ที่แพ้ในเวมบลีย์ 5 ครั้ง
สำหรับความพ่ายแพ้ในเกมนัดชิงเพลย์ออฟ เป็นเรื่องที่เจ็บปวดสุดๆ โดยเฉพาะหากเป็นแฟนบอล “เดอะ บีส์” เนื่องจากพวกเขากำลังจะได้มีโอกาสได้เห็นทีมรักขึ้นไปโลดแล่นในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งแรก แถมยังการันตีเงินรายได้ประมาณ 160 ล้านปอนด์ (ราว 6,080 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกอย่างสูญสลายไปเรียบร้อยแล้ว และ เบรนท์ฟอร์ด ต้องทำใจกลับไปโม่เกือกในศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ เหมือนเดิม แต่งานนี้มั่นใจได้เลยว่าพวกเขาต้องพยายามทำอันดับเพื่อโควตาเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ เพราะเข็ดขยาดการเล่นเพลย์ออฟแล้ว
3. ฟูแล่ม ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด
ฟูแล่ม ต้องจดจำความผิดพลาดครั้งสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการซื้อขายนักเตะเอาไว้ให้ขึ้นใจ เพราะพวกเขาเคยต้องสูญเงินในการซื้อนักเตะกว่า 100 ล้านปอนด์ (ราว 3,800 ล้านบาท) โดยที่ได้ผู้เล่นไม่คุ้มกับเม็ดเงินที่เสียไป ยกตัวอย่าง ฌอง มิเชล เซรี่ และ อังเดร-ฟร้องค์ ซัมโบ อองกิสซ่า เป็นต้น
นโยบายในการทุ่มเงินเพื่อเสริมทัพของ “เจ้าสัวน้อย” ไม่ค่อยได้ผล เพราะเงินที่ใช้ซื้อนักเตะไม่คุ้มค่า และสูญเปล่า เนื่องจากผู้เล่นเหล่านั้นไม่สามารถสร้างผลงานดีมีคุณภาพได้อย่างที่ต้องการ ส่งผลให้ทีมต้องตกชั้นเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ ฟูแล่ม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เงินให้เหมาะสมกับนักเตะที่เข้ากับระบบทีม
ฉะนั้นเม็ดเงินที่ได้จากการชนะนัดชิงรอบเพลย์ออฟ และได้เลื่อนขึ้นไปเล่นลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในครั้งนี้ สกอตต์ พาร์เกอร์ ผู้จัดการทีมคนหนุ่มไฟแรง ต้องนำมาใช้ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะหากทีมยังทำเรื่องผิดพลาดในการเสริมทัพ บทสรุปจะเหมือนกับที่เคยเจอ
4. พาร์เกอร์ ได้พิสูจน์ฝีมือในพรีเมียร์ลีก
สกอตต์ พาร์เกอร์ เคยได้ชื่อเป็นนักเตะที่โด่งดังพอสมควรสมัยที่เป็นนักเตะ และมีโอกาสได้ปะทะฝีเท้ากับผู้เล่นอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด, สตีเว่น เจอร์าร์ด, โอเล่ กุนนาร์ โซลชา, มิเกล อาร์เตต้า รวมทั้งยังเคยได้เป็นเพื่อนร่วมสังกัดกับ “แลมพ์ส” สมัยที่อยู่กับ เชลซี ช่วงฤดูกาล 2004/2005
ตอนนี้ พาร์เกอร์ จะได้มีโอกาสพบเจอกับบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีอีกครั้ง (ยกเว้น เจอร์ราร์ด ที่ไปทำงานในสกอตแลนด์) แต่ไม่ใช่การฟาดฟันกันด้วยฝีเท้าอีกต่อไปแล้ว เพราะครั้งนี้พวกเขาจะต้องฟาดหันกันด้วยกึ๋นและแท็คติกในการวางหมาก
สำหรับแฟนบอลต้นยุคมิลเลนเนียม ต้องบอกเลยว่ารู้สึกตื่นเต้นกับการได้เห็นบรรดานักเตะชั้นยอดเหล่า กลับมาทำงานคุมสโมสร โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาที่ ฟูแล่ม, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี มีคิวดวลกัน คงเป็นอะไรที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นเลยทีเดียว
5 . มีลุ้นได้เห็นเจ้าหนูดาวรุ่งไทยโลดแล่นในพรีเมียร์ลีก
สำหรับแฟนฟุตบอลชาวสยามคงดีใจกันยกใหญ่เมื่อ ฟูแล่ม ได้ตั๋วใบสุดท้ายเลื่อนชั้นมาสู่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เพราะสโมสรแห่งนี้มีนักเตะดาวรุ่งชาวไทยได้แก่ เบนจามิน เจมส์ เดวิส มิดฟิลด์อนาคตไกล อยู่ร่วมทีม โดยงานนี้หลายคนคงตื่นเต้นที่อาจจะได้เห็นเจ้าหนูคนนี้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ “เจ้าสัวน้อย”
มิดฟิลด์ลูกครึ่ง 4 สัญชาติ ได้แก่ ไทย, เวลส์, อังกฤษ และ สิงคโปร์ เพิ่งสลัดน้ำหมึกขยายสัญญาออกไปอีก 2 ปี ไปเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า ฟูแล่ม มองเห็นศักยภาพของเขาว่ามีโอกาสที่จะพัฒนาขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรได้
ที่สำคัญ กองกลางทีมชาติไทย ชุด ยู-23 ปีซึ่งเป็นกำลังหลักให้กับทีมในชุด ยู-23 ปี “เจ้าสัวน้อย” ก็เคยลงเล่นให้ ฟูแล่ม ชุดใหญ่ ในศึกฟุตบอลถ้วย “คาราบาว คัพ 2019” แมตช์ที่เปิดบ้านแพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-1 ขณะที่เมื่อซีซั่นล่าสุดเขาได้ลงสนามในลีกสำรองไปแล้ว 12 นัด ยิงไป 1 ประตู
ฉะนั้นการที่ ฟูแล่ม ได้เลื่อนชั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับวงการฟุตบอลไทย เพราะหาก เบนจามิน เจมส์ เดวิส สามารถพัฒนาฝีเท้าจนได้อยู่ในชุดหลักของต้นสังกัดก็ยิ่งเป็นเรื่องดีสำหรับทีมชาติไทยในอนาคตด้วย
ทอมเม้ง
Add friend ที่ @Siamsport
Getty Images
[ ไม่อนุญาตให้คัดลอกรูปภาพหรือนำไปเผยแพร่รูปภาพต่อไม่ว่าวิธีใดๆ ถ้าฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมายที่ระบุไว้สูงสุด ]