เผยแพร่:
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาปิดเทอมของลูกชายทั้งสองคน แม้จะยังไม่ได้กลับไปเรียนที่ประเทศจีนเขาก็พยายามหากิจกรรมทำในช่วงไม่มีเรียนออนไลน์ ยิ่งหลังจากต้องถูกกักตัวอยู่บ้านช่วง COVID-19 ยิ่งทำให้อยากออกเดินทาง และแล้วเจ้าลูกชายคนโต “สรวง สิทธิสมาน” ก็เลือกทริปท่องโลกสะพายเป้ไปจังหวัดน่านร่วมกับเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันแต่ชอบเดินทางประเภทเดินป่าขึ้นดอยแนวเดียวกันโดยมีกิจกรรมจิตอาสาบนดอยกับโรงเรียนที่กันดาร และจากทริปนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตและมองสะท้อนกลับว่า แท้จริงแล้วเราอยู่กับ “Old Normal” ผ่านบทความนี้ค่ะ
………………………………
Old Normal !
ปี 2020 นับว่าเป็นหนึ่งในปีที่วุ่นวายที่สุดในชีวิตของผม เริ่มตั้งแต่ได้ยินข่าวการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศจีน ที่ปัจจุบันกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงภายในปีนี้ บวกรวมกับปัญหาสะสมยิบย่อยอีกมากมาย อาทิ ความขัดแย้งทางการเมือง เศรษฐกิจตกต่ำ ความอยุติธรรมทางกฎหมาย ไฟป่าภาคเหนือ และปัญหาฝุ่นพิษในเมือง ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ค่อนข้างเครียดสำหรับใครหลายคน
มีคนพูดว่าปี 2020 คือเส้นแบ่งระหว่างยุคสมัย โดย COVID-19 ก็คือตัวแปรที่นำพามนุษยชาติให้ปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่
และคำว่า “New Normal” กลายเป็นคำพูดติดปากของคนในสังคมเมือง
วิถีชีวิตปกติแบบใหม่มีขึ้นมาหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษาโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นการใส่แมสก์เวลาออกนอกที่พักอาศัย การเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing การเรียนออนไลน์ การทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home กระแสใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ เช่น การเล่น Tik-Tok หรือการใช้ Zoom Meeting รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคของชาวเมืองที่เลือกใช้บริการสั่งอาหารแบบ Delivery และสั่งของออนไลน์มากขึ้น
โลกที่วุ่นวายทำอะไรก็ติดขัด แต่ทุกอย่างก็บีบบังคับให้เราต้องปรับตัว การเรียนออนไลน์เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผม เดิมทีผมเรียนภาษาจีนอยู่ที่ประเทศจีน สนทนากับเพื่อนและอาจารย์เป็นภาษาจีน อ่านป้าย สั่งอาหาร ถามทาง เป็นภาษาจีน และเพราะพื้นฐานผมเป็นคนที่เรียนรู้จากการมองเห็นได้ดีกว่าจากการฟัง พัฒนาการทางภาษาหลัก ๆ เกิดจากค่าประสบการณ์และปฏิสัมพันธ์ที่มีร่วมกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับภาษาจีน
ยอมรับว่าการเรียนออนไลน์ที่เน้นไปทางการฟังบรรยาย และการทำการบ้านกองใหญ่สุดน่าเบื่อที่มีขนาดมหึมา ทำให้ผมเครียดอยู่ไม่น้อยเพราะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ
ผมรู้สึกเบื่อคำว่า “New Normal” เสียจริง ๆ !
นี่เป็นเหตุให้ผมออกเดินทางเข้าป่าขึ้นดอย กลับไปใช้ชีวิตแบบ “Old Normal” ที่คุ้นเคยอีกครั้ง
คราวนี้ผมไปที่บ้านป่ากำ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน เป็นถิ่นของชาวพื้นเมืองเผ่าลั๊วะ พื้นที่มีความกันดาร แต่ก็นับว่าสบายกว่าหลายที่ ๆ ผมเคยไป ด้วยความที่ฝนตก ทำให้ทางเดินขึ้นมีความลื่นอยู่บ้าง แต่ก็ผ่านไปด้วยดี
เมื่อเดินขึ้นมาถึงหมู่บ้าน กางเต้นท์ตั้งแคมป์เสร็จสรรพ อากาศบริสุทธิ์ของที่นี่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายที่สุดในรอบหลายเดือน
ทริปนี้ผมเดินทางร่วมกับคณะของ “ครูสุ” เจ้าของเพจ SU Bagpacker ซึ่งมีสไตล์การท่องเที่ยวค่อนข้างตรงกับรสนิยมของผม คือ โหด มันส์ ฮา เน้นความลำบาก สมบุกสมบัน ไม่สบายเหมือนอยู่ในเมือง ที่สำคัญคือไม่ไปมือเปล่า สร้างประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับคนในพื้นที่ด้วยการทำจิตอาสา เป้าหมายหลักของทริปคือการทำก๋วยเตี๋ยวแจกชาวบ้าน และนำของไปทำกิจกรรมและบริจาคให้กับเด็ก ๆ
ส่วนเป้าหมายรองอันเป็นเป้าหมายส่วนตัวของผมนั้นเรียบง่าย แค่ต้องการปลีกวิเวก แยกตัวออกจากสังคมเมืองเป็นเวลาชั่วคราว และใช้เวลาครุ่นคิดทบทวนตัวเองเท่านั้น
แน่นอนว่าทุกการเดินทางของผมต้องมีเรื่องกลับมาเขียนเล่าได้เสมอ
ก่อนหน้านี้ผมตั้งคำถามในใจเล็กน้อยว่า จะมีชาวบ้านสนใจมากินก๋วยเตี๋ยวด้วยหรือ ?
แต่เกินคาด เชื่อไหมครับ เพื่อก๋วยเตี๋ยวแค่ชามสองชาม มีชาวบ้านแห่กันมาต่อแถวรอรับกันล้นหลาม และที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าคือบางคนเดินทางข้ามเขาเป็นลูกมาจากหมู่บ้านที่ห่างออกไป 25 กิโลเมตร เพื่อมากินก๋วยเตี๋ยว กินเสร็จก็เดินกลับหมู่บ้านอีก 25 กิโลเมตร ก็นะ…ผมลืมไปว่าบนดอยคงไม่สามารถหาก๋วยเตี๋ยวกินได้ง่าย ๆ ปกติชาวบ้านที่นั่นจะกินข้าวกับน้ำพริกทุกมื้อ เนื้อสัตว์…เส้นหมี่…และลูกชิ้น…คงจะนับว่าเป็น “มื้อพิเศษ” สำหรับพวกเขาได้จริง ๆ
เมื่อย้อนคิดกลับไปถึงสังคมเมือง พวกเรากินเนื้อย่างชาบูกันเป็นว่าเล่น นั่งคาเฟ่ จิบ Afternoon Tea มื้อพิเศษ คืออาหารอิตาเลี่ยน และซูชิโอมากาเสะ บางคนกินไม่หมด เหลือก็ทิ้ง และหากใครมาเสนอก๋วยเตี๋ยวให้ผมกินฟรี ๆ สักชาม ผมคงไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร ถ้าอยากกินก็กิน ถ้าไม่อยากก็ไม่กิน เพราะก็มีอย่างอื่นให้กินอีกเยอะแยะ และอย่าว่าแต่เดิน 25 กิโลไปกินก๋วยเตี๋ยวเลยครับ บางคนอยากกินข้าวขาหมูหน้าปากซอยยังจะขี้เกียจเดินไปซื้อเอง สั่งจากในแอพฯ เอาสบายดีกว่า เสียค่าส่งมากขึ้น 50 บาทก็ถือว่าเป็นค่าขี้เกียจ
คำว่า “Normal” ของแต่ละคนมันไม่เท่ากันจริง ๆ !
อีกประการที่ผมชอบบนดอย คือการได้ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในสังคมเมือง…
อยู่บนดอยไม่ต้องใส่แมสก์ ไม่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม เพราะบนนั้นไม่มีเชื้อโควิด และหากมีก็เป็นพวกเราชาวเมืองนี่แหละที่เอาไปแพร่ให้กับชาวบ้าน ไม่ต้องคิดเรื่องเรียนและสอบออนไลน์ ไม่ต้องคิดเรื่องลงถนนประท้วงรัฐบาล เพราะที่นี่ไม่มีถนน ไม่ต้องคิดเรื่องการแต่งตัว เพราะไม่ว่าจะใส่รองเท้าหนัง Gucci หรือรองเท้าแตะ Adda ก็เลอะโคลนเปื้อนขี้วัวเหมือนกันหมด ไม่ต้องคิดเรื่องอาหารอร่อย ๆ เพราะตอนอยู่บนดอยแล้วหาของกินแก้หิวได้ ต่อให้เป็นแค่ข้าวโพดอาหารหมูก็อร่อยกว่าเนื้อวากิวตอนอยู่ในเมือง
ยิ่งไปกว่านั้น ผมจะยิงกระต่ายหรือทิ้งกับระเบิดไว้ที่ไหนก็ได้ไม่มีใครว่า ดีด้วยซ้ำ เพราะของเสียจากตัวเราดันเป็นปุ๋ยชั้นดีสำหรับต้นไม้ใบหญ้า ห้องน้ำบนยอดเขาก็จัดว่าวิวดียิ่งกว่าโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ทริปนี้ยังเป็นทริปแรกที่ผมได้อาบน้ำฝนจากชายคา เนื่องจากฝนตกไม่หยุดสองวันติด ทำให้เกิดดินสไลด์ทำลายระบบน้ำของหมู่บ้าน ฝนตกทำให้น้ำไม่ไหลจนอดอาบน้ำ แต่ถ้าคิดง่าย ๆ จริง ๆ แล้ว ฝนก็คือมวลน้ำมหาศาลที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ฝนบนดอยสูงไม่ผ่านมลพิษของความเจริญในเมืองอีกต่างหาก อาบน้ำฝนไปก็จบเรื่อง
เชื่อผมเถอะ ถ้าคุณได้ลองอาบน้ำฝนเย็นชุ่มฉ่ำจากชายคาท่ามกลางวิวพาโนรามาผ่านสายตาจริงๆ สักครั้ง คุณจะต้องติดตาตรึงใจจนต้องหาโอกาสทำซ้ำอีกอย่างแน่นอน
นี่สินะ ความฟินของ “ปกติเก่า” ที่ไม่อาจหาได้ในสังคมเมือง !
คำว่า “Old Normal” ในเรื่องเล่าชิ้นนี้ไม่ได้หมายถึงความปกติเก่าก่อนที่จะถึงยุคโควิด และคำว่า “New Normal” ก็ไม่ได้หมายถึงความปกติใหม่ในยุคโควิดนี้เช่นกัน
Old Normal ของผมหมายถึงจุดเริ่มต้นของมนุษย์ หนทางที่เราเคยเดิน ภาพที่เราลืม สภาพสังคมที่ไม่เจริญแต่เรียบง่าย สบาย ๆ ไม่ศิวิไลซ์ (Cilvilized) แต่ซิมพลิไฟด์ (Simplified) ในขณะที่ New Normal คือจุดที่เรายืนอยู่ตอนนี้ จุดที่ห่างไกลออกมาจุดเริ่มต้น แต่ก็ยังมองไม่เห็นปลายทาง ความรุ่งเรืองของมนุษย์ที่ไม่รู้ว่าจะจบลงตรงไหน และสภาพสังคมที่สะดวกแต่สุดแสนวุ่นวายและวิกฤติ
Old Normal ในทีนี้จึงใกล้เคียงกับคำว่า “Back to Basic” อย่างยิ่ง
และไม่ไกลจากคำว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ” นัก
การหนีวิถีชีวิตแบบ New Normal มาเผชิญโลกผจญภัยในวิถีแบบ Old Normal บ้าง ก็ทำให้สดชื่นไม่น้อย แถมยังรู้สึกว่าเป็นการสร้างสมดุลให้กับจิตใจ ทำให้เข้าใจโลกมากพอกับที่เข้าใจตัวเอง ปล่อยวางความเครียด เพิ่มพลังใจในการกลับไปลุยกับชีวิตแบบปกติใหม่ต่อไป
หาเวลาอาบน้ำฝนเย็นชุ่มฉ่ำจากชายคากันบ้างนะครับ…