วันที่ 31 ก.ค. 2563 เวลา 14:44 น.
เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ขน 8 แบรนด์ร้านอาหาร 2,200 แห่งใน 26 ประเทศทั่วโลก ลุยตลาดร้านอาหารครึ่งปีหลัง ด้วยกลยุทธ์ใหม่หลังได้รับบทเรียนจากโควิด-19
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และรักษาการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ ฟู้ด กล่าวว่ากลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมีแบรนด์ร้านอาหารที่เป็นที่รู้จัก ดังนี้ The Pizza Company, Swensen’s, Sizzler, The Coffee Club, Dairy Queen, Burger King และ Bonchon รวมมากกว่า 2,200 ร้านใน 26 ประเทศ
ทั้งนี้ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไมเนอร์ ฟู้ด ได้เร่งปรับตัวพัฒนาองค์กร พร้อมกระจายการลงทุนที่ช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบได้ดี ผ่าน ธุรกิจบริการจัดส่งอาหาร (เดลิเวอรี่) และบริการซื้อกลับบ้าน ซึ่งมีการเติบโตขึ้น และได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่บริการนั่งร้านหยุดชะงักชั่วคราว
ขณะที่หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เริ่มสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยร้านอาหารของไมเนอร์ ฟู้ดในประเทศไทย กลับมาเปิดให้บริการราว 95% ของสาขาร้านอาหารทั้งหมด 1,490 แห่งทั่วประเทศ โดยหลังจากกลับมาเปิดสาขา ยอดขายของแบรนด์ส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ และบางแบรนด์แสดงแนวโน้มของยอดขายที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นไปที่นโยบายการผลักดันการขายผ่านทุกช่องทาง
สำหรับการดำเนินในต่างประเทศนั้นมีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศจีน ซึ่งกว่า90% ของสาขาร้านอาหารทั้งหมดได้เปิดให้บริการตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม และมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์โรคระบาดที่คงที่และปรับตัวดีขึ้น
“ยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับในทุกสัปดาห์ และกลับมามีกำไรในระดับร้านสาขาในเดือนพฤษภาคม โดยคาดว่าการดำเนินงานในจีนจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตภายในช่วงต้นเดือนสิงหาคม” นายดิลลิป กล่าว
นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไมเนอร์ ฟู้ด ได้เสริมความพร้อมของการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2563 ดังนี้ ยกระดับบริการเดลิเวอรี่ ด้วยการเร่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบองค์กร ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วม ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มการสั่งอาหารออนไลน์ ตามวิถีชีวิต New Normal ที่ผู้บริโภคหันไปพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคให้สามารถสั่งอาหารได้หลากหลายภายในออเดอร์เดียว
“การที่มีแพลตฟอร์มสั่งอาหารเดลิเวอรี่เป็นของตัวเอง ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายและสร้างฐานข้อมูลลูกค้าให้กับองค์กรได้อีกด้วย และที่สำคัญ แพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ก็ยังเป็นที่รู้จักและจดจำกันมาอย่างยาวนาน โดยไตรมาสสองที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเดลิเวอรี่โตขึ้นถึงสามเท่าจากช่องทางเดียวกันของปีก่อน” นายประพัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้ยังจะพัฒนาเมนูใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภค รวมถึงการใช้ช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิผล การออกแคมเปญการตลาดที่สร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับบริษัท
ขณะเดียวกันยังได้พัฒนาโมเดลร้านรูปแบบคีออส เป็นการให้บริการแกร็บแอนด์โก ที่สามารถสร้างรายได้ โดยจะตั้งร้านอยู่ใกล้กับความสะดวกของผู้บริโภคมากขึ้น โดยตัวอย่างร้านที่ดำเนินโมเดลลักษณะนี้แล้ว ได้แก่ ซิซซ์เลอร์ ทูโก
ขณะเดียวกันยังได้ พัฒนา “Cloud Kitchen” โมเดลครัวกลางรูปแบบใหม่ให้บริการที่ สะดวก ใกล้บ้าน จากการนำเอาคอนเซ็ปต์ Cloud มาประยุกต์ใช้กับร้านอาหาร เกิดเป็น Cloud Kitchen ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ลูกค้าที่สั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ ได้รับอาหารรวดเร็วขึ้น ด้วยที่ตั้งสาขาใกล้บ้านในระยะ 3 กิโลเมตร สามารถสั่งอาหารได้หลายแบรนด์ ภายในออเดอร์เดียว
พร้อมตั้งโปรเจค “Business Beyond COVID” อบรมพนักงานด้านการให้บริการที่สะอาดอย่างเข้มข้นขึ้น โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและสุขอนามัยเป็นหลัก ผ่านแคมเปญรักษาความปลอดภัยของอาหาร ได้แก่ “Zero Touch Delivery” “Safety Seal” และ “Easy Pick Up” ของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี หรือการจ่ายไร้เงินสดเมื่อสั่งอาหารในร้านเบอร์เกอร์ คิง เพื่อยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยกับความปลอดภัยของทั้งลูกค้าและพนักงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19
สำหรับแนวทางดังกล่าว เพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรพร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมร้านอาหารท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการปรับการดำเนินงานเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ