” ปูนซิเมนต์ไทย” อวดกำไรโค้ง 2 ปีนี้แตะ 9.3 พันล้านบาท โต 33% จากธุรกิจเคมีคอลส์ดีขึ้น พร้อมปันผลระหว่างกาล 5.50 บาท/หุ้น แต่กังวลธุรกิจปูนซีเมนต์-ก่อสร้าง ยังไม่ฟื้นตัว หลังโควิด-19 ระบาดส่งผลกระทบการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับต่างชาติ แต่หวังพึ่งการลงทุนภาครัฐ หนุนความต้องการเพิ่ม พร้อมคงงบลงทุนปีนี้ 5.5-6.5 หมื่นล้านบาท ไม่เน้นขยายกำลังผลิต-ซื้อกิจการ หลังประเมินทุกธุรกิจครึ่งปีหลังยังเผชิญความท้าทาย จากความกังวลโควิด-19 ระบาดรอบ 2
*** ธุรกิจปูน-ก่อสร้างยังไม่ฟื้นตัว
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะยังคงไม่ฟื้นตัว จากที่มีผลกระทบต่อการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่การลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะมีส่วนสนับสนุนความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศเป็นหลัก แต่การใช้ปูนซีเมนต์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มพาณิชย์จะยังคงชะลอตัว เพราะผลกระทบจากโควิด
ขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์ ถือว่าช่วงนี้เป็นความท้ายทายทางธุรกิจเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งจะต้องติดตามแนวโน้มต้นทุน และราคาขาย ซึ่งยอมรับว่าธุรกิจดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน
สำหรับธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง แนวโน้มความต้องการบริโภคในประเทศยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่จะต้องติดตามการส่งออก เพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่นกัน
*** ครึ่งปีหลังยังเผชิญความท้าทาย
ทั้งนี้ประเมินว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 63 ในทุกกลุ่มธุรกิจยังมีความท้าทายและยังต้องกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 รอบ 2
ดังนั้น ในช่วงที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้บริษัทไม่ได้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเหตุการณ์มีความไม่แน่นอนสูง เพื่อให้สามารถปรับตัวและเตรียมแผนการรองรับได้ทันท่วงที
ดังนั้นจึงได้ดำเนินธุรกิจให้มีโฟกัสมากยิ่งขึ้น ทั้งการเตรียมพร้อมรับมือในกรณีที่เกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุด (Prepare for the Worst) เช่น การเตรียมการขายและการขนส่งล่วงหน้า หากมีการปิดเมือง การวางแผนสำหรับโอกาสทางธุรกิจที่เข้ามาได้ทุกเมื่อ (Plan for The Best) ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ (Digital Transformation) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าที่สุด
*** คงงบลงทุนปีนี้ 5.5-5.6 หมื่นลบ.
ด้านนายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน SCC เปิดเผยว่า บริษัทยังคงงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 55,000-65,000ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกใช้เงินลงทุนแล้วประมาณ 22,000 ล้านบาท และรึ่งปีหลังจะมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นตามแผนที่วางไว้ โดยไม่เน้นการลงทุนขยายกำลังการผลิต หรือการเข้าซื้อกิจการ
ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมือ จำนวน 88,000ล้านบาท และกำลังพิจารณาออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อชดเชยของเดิมที่จะครบกำหนดในสิ้นปี 63
*** กำไร Q2/63 โต 33%
นายรุ่งโรจน์ กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 9,383.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,043.16 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานของธุรกิจหลักที่ดีขึ้น การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการจัดการการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และเพิ่มขึ้น 35% จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ดีขึ้น
ขณะที่มีรายได้จากการขาย 96,010 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง และลดลง 9% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากรายได้ของธุรกิจหลักลดลง แบ่งเป็น
– ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 21,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการซื้อธุรกิจ และลดลง 11% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการซื้อสินค้าที่ลดลงในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
– ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 34,758 ล้านบาท ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 9% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง
– ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 42,506 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการของตลาดลดลงจากมาตรการปิดเมือง
*** ครึ่งปีแรก กำไรวูบ 13%
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 63 มีรายได้จากการขาย 201,751 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง และมีกำไร 16,355 ล้านบาท ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลงในไตรมาสที่ 1/63
– ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 45,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
– ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 73,087 ล้านบาท ลดลง 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,342 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 34 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงและผลประกอบการของบริษัทร่วมลดลง
– ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 88,751 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการของตลาดลดลงจากมาตรการปิดเมือง
โดยครึ่งปีแรกของปี 2563 เ มียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 91,003 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของยอดขายรวม และยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออก ทั้งสิ้น 86,638 ล้านบาท คิดเป็น 43% ของยอดขายรวม ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
*** ปันผลระหว่างกาล 5.50 บาท
คณะกรรมการ SCC อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 63 ในอัตรา 5.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 6,600 ล้านบาท กำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันศุกร์ที่ 28 ส.ค.63 กำหนดผู้ที่ไม่มีสิทธิ์รับเงินปันผล (XD) ในวันพฤหัสบดีที่ 13 ส.ค.63 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินปันผล (Record date) ในวันศุกร์ที่ 14 ส.ค.63
*** ประเมินสถานการณ์ก่อนขายไอพีโอ SCGP
ส่วนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP คำขอได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ภายนอกต่าง ๆ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจ ภาวะตลาดเงินตลาดทุน รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน
” เบื้องต้นยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ทันภายในช่วงครึ่งหลังของปี 63 หรือไม่ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ และภาวะตลาดการเงินการลงทุน” นายรุ่งโรจน์ กล่าว