“คลาวด์ คิทเช่น” เทรนด์นี้เกิดมานานแล้ว แต่ในยุคที่ธุรกิจร้านอาหารต้องรัดเข็มขัด และแข่งขันกับสตรีทฟู้ดส์ที่ใช้โมเดลเดลิเวอรี่ช่วงชิงลูกค้าไปนั้น ทำให้แบรนด์ใหญ่ต้องลงทุนขยายคลาวด์ คิทเช่น เพื่อสร้างขา เดลิเวอรี่ รับพฤติกรรม New Normal บริการเสิร์ฟอาหารยันบ้านและที่ทำงานให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
บุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ผู้ประกอบธุรกิจบริการอาหาร เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สร้างผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะรูปแบบร้านอาหารแบบนั่งรับประทาน เทรนด์ที่มาแน่นอนคือ คลาวด์ คิทเช่น (Cloud Kitchen) หรือการเปิดครัวกลางสำหรับการผลิตอาหารหลากหลายแบรนด์ในเชนร้านอาหารไว้ในที่เดียวกัน เพื่อรองรับการบริการแบบเ
ทำไมธุรกิจอาหารต้องทำคลาวด์ คิทเช่น
- การมีคลาวด์ คิทเช่น ทำให้ธุรกิจ เดลิเวอรี่ บริการได้ครบคลุมพื้นที่ยิ่งขึ้น
- ลดต้นทุนด้านการขยายสาขาลง ซึ่งการลงทุนร้านอาหารโดยเฉลี่ยใช้งบราว 3-4 ล้านบาท
- ลดต้นทุนการเช่าพื้นที่ห้างสรรพสินค้า โดยพบว่า 70% มาจากค่าเช่าพื้นที่กับค่า GP (Gross Profit) ที่ห้างสรรพสินค้าเรียกเก็บ
- การใช้พื้นที่ร่วมกัน เพื่อสร้างกำไรให้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านการบริหารต้นทุนโดยเฉพาะวัตถุดิบ
- เติมเต็มแบรนด์ต่างๆ ที่มีสาขาน้อยหรือไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด
- รองรับกับเทรนด์เดลิเวอรี่ ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่อย่างน้อยธุรกิจร้านอาหารแบบนั่งรับประทานควรมีสัดส่วนรายได้จากเดลิเวอรี่ 20%
สำหรับนโยบายของกลุ่ม Zen จะให้ความสำคัญกับการขยายคลาวด์ คิทเช่น เพิ่มขึ้น โดย Collaboration ร่วมกับแบรนด์อาหารในพอร์ตโฟลิโอเครือที่มีอยู่กว่า 10 แบรนด์ ภายในปีนี้จะเปิดคลาวด์ คิทเช่น เพิ่มจาก 30 แห่ง เป็น 60 แห่ง จะผลิตอาหารของเครือเพียง 2 แบรนด์เท่านั้น โดยมีเขียงและ ZEN เป็นแบรนด์เรือธงสำหรับการทำเดลิเวอรี่ และมีเมนูอาหารรองรับราว 10 เมนู
“การทำธุรกิจในยุคนี้ ธุรกิจร้านอาหารต้องปรับตัว ใช้ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ผสมผสาน และนำเทคโนโลยีมาเพื่อลดต้นทุนการดำเนินการ เดิมการทำเดลิเวอรี่ต่างคนต่างทำต่างส่ง หลังจากนี้การบริหารจัดการ คลาวด์ คิทเช่น จะช่วยกระจายสินค้าให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นจากเดิมมี 50 สาขา เป็น 100 สาขา เป็นต้น”
บุญยง กล่าวว่า เป้าหมายของ เซ็น กรุ๊ป ในธุรกิจเดลิเวอรี่วางแผน 2-3 ปี สร้างรายได้สัดส่วน 20% จากเดิมที่ช่องทางจำหน่ายดังกล่าวสร้างรายได้ 5% เท่านั้น และคาดว่าภายในปีนี้รายได้จะเพิ่มเป็น 10% โดยเชื่อว่าท้ายที่สุดเดลิเวอรี่เป็นเพียงแค่ช่องทางหนึ่งในธุรกิจร้านอาหาร แต่การนั่งรับประทานอาหารที่ร้านยังเป็นช่องทางหลัก