“ศาลล้มละลาย” อาจเป็นทางออกถูกที่ถูกเวลา สำหรับ “การบินไทย” สายการบินแห่งชาติ หลังจากป่วยหนักด้วยโรค “หนี้สะสม” มานานหลายปี จนทำให้วิกฤติโควิด-19 เข้ามาซ้ำอาการโคม่าถึงขั้น “หนี้สินล้นพ้นตัว” เพราะต้องหยุดบินหารายได้ไม่พอต่อภาระหนี้สินจ่ายออก
เมื่อเปิดงบกำไรขาดทุน ที่ฝ่ายบริหารการบินไทยประเมินว่างวด 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ท่ามกลางการหยุดบินอย่างต่อเนื่องจะขาดทุนสูงถึง 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (ไม่รวมค่าเช่าเครื่องบิน) จะสูงถึง 1.39 แสนล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจะติดลบ 6,200 ล้านบาท
หลังการบินไทยก้าวเข้าสู่กระบวนการศาลล้มละลายและถูกรับคำร้องฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2563 สิ่งที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นนักลงทุนและบุคคลที่เกี่ยวข้องเห็นจะเป็นการแจงแนวทางขั้นตอนการแก้ไขและแนวทางการยื่นศาลล้มละลาย
อรอนงค์ ชุณหะมาน ผู้อำนวยการฝ่ายลงทุนสัมพันธ์และบริหารกลาง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) เปิดเผยว่า ศาลได้รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการและจะนัดไต่สวนในวันที่ 17 ส.ค. 2563 ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการตามแผนได้ในเดือน มิ.ย. 2564 และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 5 ปี หรือปี 2569 ซึ่งสามารถขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี
สำหรับแนวทางการฟื้นฟูกิจการ ในเบื้องต้น ประกอบด้วย 5 แนวทาง คือ 1.การปรับโครงสร้างหนี้ 2.ปรับปรุงเส้นทางการบินและฝูงบิน 3.ปรับปรุงองค์กรและหน่วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบิน 4.ปรับปรุงกลยุทธ์ด้านการพาณิชย์และความสามารถในการหารายได้ และ 5.ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรโดยปรับปรุงองค์กรให้กระชับลดงานที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น
อย่างไรก็ดี จากแนวทางฟื้นฟูกิจการในข้างต้น นับตั้งแต่วันที่ศาลล้มละลายกลางได้รับคำร้องจนถึงขณะนี้ พบว่าสิ่งที่การบินไทยเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมไม่เพียงแต่งตั้งคณะผู้ทำแผนเข้ามาขับเคลื่อนแผนฟื้นฟู แต่เริ่มเห็นการบินไทยลุยงานตามแบบฉบับฟื้นฟูกิจการบางส่วนแล้ว เช่น การเดินหน้าเจรจากับเจ้าหนี้ ผ่านตัวแทนกลางอย่างทนายความไปเจรจากับเจ้าหนี้ในลักษณะผ่อนสั้นผ่อนยาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเจรจากับเจ้าหนี้เครื่องบิน
นอกจากนี้ การบินไทยยังใช้โอกาสนี้เขย่าเส้นทางบินที่ไม่ทำกำไร โดยแผนกลับมาเปิดทำการบินฉบับล่าสุด ที่เตรียมทยอยให้บริการในวันที่ 1 ส.ค. 2563 เป็นต้นไป
การบินไทยจะกลับมาทำการบินเส้นทางระหว่างประเทศอีกครั้งจำนวน 37 เส้นทาง แต่มีเส้นทางที่ยังไม่มีแผนกลับมาเปิดให้บริการ เช่น มิลาน และโรม, มอสโก, เวียนนา, สตอกโฮล์ม, ซัปโปโร, ฟุกุโอกะ, เซนได, กาฐมาณฑุ, ออสโล และโคลัมโบ เป็นต้น
นเรศ ผึ้งแย้ม อดีตประธานสหภาพฯ การบินไทย เปิดเผยด้วยว่า ตัวแทนพนักงานและกลุ่มสหภาพฯ การบินไทยได้หารือร่วมกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หนึ่งในคณะกรรมการ (บอร์ด) การบินไทยและผู้จัดทำแผนฟื้นฟูการบินไทยซึ่งออกมาระบุถึงแนวทางจัดทำแผนฟื้นฟูองค์กรว่าทิศทางดำเนินงานหลังจากนี้การบินไทยจะไม่ได้เป็นเพียงสายการบินที่หารายได้จากบัตรโดยสารเพียงอย่างเดียว
โดยจะมองโอกาสของหน่วยธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มให้องค์กร เป็นหน่วยธุรกิจที่มีศักยภาพและแนวโน้มความต้องการในตลาดสูง ประกอบไปด้วย ธุรกิจครัวการบิน ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) และธุรกิจขนส่งสินค้า (คาร์โก) เป็นต้น ซึ่งบอร์ดอยู่ระหว่างพิจารณาโอนย้ายพนักงานในหน่วยธุรกิจที่เกินความจำเป็น ทำงานซ้ำซ้อน ให้ไปหนุนธุรกิจที่มีความต้องการและมีแนวโน้มสร้างรายได้ดังกล่าว ทำให้แผนปรับลดพนักงานที่เคยกำหนดไว้ถึง 30% จะไม่เป็นเช่นนั้น
“ตอนนี้พนักงานการบินไทยทุกคนมีความหวัง เราเชื่อมั่นในแผนฟื้นฟูและทีมบอร์ดที่จะทำให้การบินไทยกลับมามีความหวังอีกครั้ง ตอนนี้หวังเพียงว่าวันที่ 17 ส.ค.นี้ เมื่อศาลนัดไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ เห็นชอบแผนและคณะผู้ทำแผน ก็จะทำให้คณะผู้ทำแผนชุดนี้เป็นผู้บริหารแผน และเริ่มต้นกระบวนการตามแผนฟื้นฟู”
นอกจากการเตรียมความพร้อมและร่างแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อเสนอศาลล้มละลายกลางในวันที่ 17 ส.ค.นี้ อีกฟากการดำเนินงาน การบินไทยได้ออกประกาศถึงผู้โดยสาร คู่ค้า และพันธมิตรธุรกิจ ว่า ขณะนี้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยมีนโยบายผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และมีบางประเทศเริ่มอนุญาตให้มีการเดินทางเข้า–ออกประเทศภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ธุรกิจการบินเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ในส่วนของการบินไทยได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและอุปกรณ์เพื่อให้การบริการภาคพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่างครบวงจรได้แก่การบริการลูกค้าภาคพื้นการบริการอุปกรณ์ภาคพื้นการซ่อมบำรุงอากาศยานการขนส่งสินค้าและบริการครัวการบิน
ขณะเดียวกัน ยังประกาศถึงพนักงานในองค์กรให้กลับมาทำงานตามปกติ โดยพนักงานที่ปฏิบัติงานในประเทศไทยให้มาทำงานตามตารางการทำงานตามปกติตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2563 เป็นต้นไป ส่วนพนักงานที่ปฏิบัติงานในสำนักงานต่างประเทศให้พิจารณาตามความเหมาะสม
ทั้งหมดนี้เป็นแผนยกเครื่อง “การบินไทย” เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ยุคคู่ขนาน จับตาหลังวันที่ 17 ส.ค.นี้ ธุรกิจที่ยังคงต้องขับเคลื่อนเพื่อหารายได้ ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูกิจการ สู่เป้าหมายที่ต้องการกลับมาแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : เปิดแผนฟื้นฟู‘การบินไทย’ขีดเส้นภายใน 7 ปี