ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ดัชนี Environmental Performance Index (EPI) ของไทยในปี 2563 อยู่ที่ลำดับ 78 ของโลก ปรับตัวดีขึ้นจากลำดับ 121 ของโลกในปี 2561 ซึ่งประเทศไทยทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกและปรับตัวดีขึ้นกว่าประเทศในระดับใกล้เคียง ทั้งประเทศจีนและฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันทั้งประเด็นปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ปัญหาการจัดการน้ำและภัยแล้งที่มีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงปัญหาการจัดการขยะและของเสีย บ่งชี้ว่าไทยยังต้องยกระดับการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
• ภาคธุรกิจจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางการจัดการธุรกิจที่ยั่งยืน ซึ่งมีปัจจัยกระตุ้นทั้งด้านโอกาสทางการตลาดจากพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม และปัจจัยกดดันจากมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Measures) ระหว่างประเทศที่กำหนดมาตรฐานสินค้า
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กลไกความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของธุรกิจจะกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดยุคใหม่ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อและพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทุกธุรกิจที่มีศักยภาพควรต้องให้ความสำคัญ
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร พลังงานและการขนส่ง สารเคมี และพลาสติก เพราะจะส่งผลในทางบวกต่อผลประกอบการของธุรกิจและภาพลักษณ์องค์กรระยะยาวในด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่หันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของธุรกิจ
Environmental Performance Index ของไทยปี 2563 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศในระดับใกล้เคียง
ในภาวะที่โลกกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแต่ละประเทศต่างหันมาให้ความสำคัญในการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม โดยหนึ่งในตัวชี้วัดเพื่อประเมินประสิทธิผลด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมได้แก่ ดัชนี EPI (Environmental Performance Index) จัดทำโดย Yale Center for Environmental Law & Policy
ซึ่งดัชนี EPI ประมวลจากการประเมินผลกระทบต่อระบบนิเวศและสุขอนามัย ซึ่งประกอบด้วย 32 ตัวชี้วัดย่อย ดัชนี EPI ของไทยในปี 2563 อยู่ที่ลำดับ 78 ของโลก ปรับตัวดีขึ้นจากลำดับ 121 ของโลกในปี 2561 ในขณะที่กลุ่มประเทศใกล้เคียงในปี 2561 เช่น ประเทศจีน และฟิลิปปินส์ มีค่าดัชนี EPI ในปี 2563 ลดลง เมื่อพิจารณาตัวชี้วัดรายด้าน
พบว่า ประเทศไทยทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกและปรับตัวดีขึ้นกว่าประเทศในระดับใกล้เคียงในหลายมิติ ทั้งตัวชี้วัดด้านระบบสุขอนามัยและน้ำดื่ม ระดับการปล่อยโลหะหนัก ระดับการปล่อยมลพิษ (ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์) ในขณะเดียวกันตัวชี้วัดด้านคุณภาพอากาศ การประมง รวมถึงระบบการจัดการของเสียและน้ำเสีย ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก
จากความสัมพันธ์ระหว่างดัชนี EPI ซึ่งค่าดัชนีที่เข้าใกล้ 100 จะแสดงถึงประสิทธิภาพในการจัดการสิ่งแวดล้อมของ 180 ประเทศทั่วโลก และรายได้ต่อประชากร (GDP per Capita) พบว่า กลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่อประชากรสูงกว่าโดยเปรียบเทียบส่วนใหญ่จะมีดัชนี EPI สูงตามไปด้วย ซึ่งอาจสะท้อนได้ถึงความสามารถของประเทศพัฒนาแล้วในการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าประเทศกำลังพัฒนาโดยเปรียบเทียบ
เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก และต้องเผชิญปัจจัยท้าทายรอบด้าน จากการขยายตัวของเมือง การเพิ่มกำลังการผลิตและการบริโภค ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทำให้การพัฒนาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอาจถูกลดทอนความสำคัญลงไป
ถึงแม้การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในภาพรวมจะดีขึ้น แต่ไทยยังคงต้องให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาในหลายมิติ ควบคู่ไปกับการสร้างการจัดการที่ยั่งยืนโดยมีภาคธุรกิจเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ
แม้ว่าดัชนี EPI ของไทยในภาพรวมระดับประเทศจะอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของโลก แต่สถานการณ์ปัจจุบันทั้งประเด็นปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบอย่างมากในพื้นที่กรุงเทพ และหลายจังหวัดในภาคเหนือ ปัญหาการจัดการน้ำและภัยแล้งที่มีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
รวมถึงปัญหาการจัดการขยะและของเสียที่เพิ่มขึ้นตามการบริโภค ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมซึ่งไม่อาจประเมินค่าได้ สถานการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่าไทยยังต้องยกระดับการจัดการสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบระยะสั้น ควบคู่ไปกับมาตรการการจัดการที่ยั่งยืนเพื่อป้องกันและเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาในระยะยาว โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ แม้ว่าภาครัฐยังคงมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อม แต่บทบาทของภาคธุรกิจที่หันมาให้ความสำคัญกับการจัดการอย่างยั่งยืนจะทวีความสำคัญมากขึ้นกว่าการทำกิจกรรม CSR เนื่องจากการจัดการธุรกิจที่ยั่งยืนจะส่งผลต่อการรูปแบบการดำเนินธุรกิจ การออกแบบสินค้าและบริการ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในระยะยาว และคาดว่าการปรับตัวของภาคธุรกิจจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืน
ที่ผ่านมากระแสความตระหนักด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกิดธุรกิจเพื่อสังคม ธุรกิจสีเขียว รวมถึงธุรกิจทั่วไปที่นำหลักการจัดการเพื่อความยั่งยืนเข้ามาประยุกต์ใช้ ทำให้ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และรูปแบบธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบ/ประโยชน์ภายนอกที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจไว้ในการจัดการองค์กร และจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นผลประกอบการระยะสั้น เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสะท้อนถึงต้นทุน/ผลประโยชน์สุทธิที่เกิดขึ้นจริง
โดยธุรกิจในทุกภาคส่วนมีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืนของไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ภาคบริการ ภาคการเงิน และอุตสาหกรรมสนับสนุนต่างๆ ที่ทำงานสอดคล้องกันทั้งระบบ และจำเป็นต้องมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจยั่งยืน
โอกาสทางการตลาดและปัจจัยกดดันด้านความตระหนักถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ทำให้ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการที่ยั่งยืนที่เป็นรูปธรรม
ในภาวะปัจจุบันที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญความยากลำบากจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการอยู่รอดของธุรกิจ และจัดการความเสี่ยงเฉพาะหน้าเป็นลำดับแรก อย่างไรก็ดี สำหรับธุรกิจที่มีศักยภาพในการปรับตัว การนำแนวทางการจัดการเพื่อความยั่งยืน ESG ได้แก่
1) ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) 2) ความยั่งยืนทางสังคม (Social Sustainability) และ 3) ธรรมาภิบาล (Governance) จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพและภาพลักษณ์ขององค์กร ซึ่งจะกลายเป็นข้อได้เปรียบหนึ่งของธุรกิจในระยะยาว ภายใต้ปัจจัยสนับสนุนธุรกิจเพื่ออนาคต 2 ด้านหลัก คือ
1) โอกาสทางการตลาดด้านความตระหนักถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น จากพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องราวและแหล่งที่มาของสินค้า รวมถึงผลกระทบจากการบริโภคสินค้าตลอด Life Cycle จากผลสำรวจในสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้บริโภคมากกว่า 47% ของกลุ่มตัวอย่าง มีความเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น 25-100% ของราคาจำหน่ายเดิม
สำหรับสินค้าที่คำนึงถึงปัจจัยด้านความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจในประเทศไทยที่พบว่า ผู้บริโภคมากกว่า 37% ของกลุ่มตัวอย่าง มีความเต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของสินค้าจะกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดยุคใหม่ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อและพฤติกรรมผู้บริโภค
2) ปัจจัยกดดันจากมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Measures) ระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศต่างๆ ได้มีการกำหนดมาตรฐานสินค้าด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในแทบทุกประเภทสินค้า เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้า คุ้มครองผู้บริโภค และคำนึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมไว้ด้วย เช่น มาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) ที่กำหนดให้การเพาะปลูกจะต้องไม่อยู่ในพื้นที่ที่เป็นการรุกผืนป่า ไม่มีการใช้ แรงงานที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น
ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ส่งออกต้องปฏิบัติให้ได้ตามเกณฑ์ระหว่างประเทศที่กำหนด เมื่อพิจารณาผลกระทบของมาตรการ NTMs ที่บังคับใช้กับประเทศไทยตามรายการสินค้า พบว่า สัดส่วนมาตรการกว่า 57% บังคับใช้กับสินค้ากลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มพลาสติก ยาง และเรซิน และสารเคมี ซึ่งแสดงถึงปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกสินค้าใน 3 กลุ่มดังกล่าวของไทย หากไม่มีการปรับตัวเพื่อรับมือกับมาตรการ NTMs ที่น่าจะมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้นต่อเนื่อง
โดยมาตรการ NTMs ที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก ได้แก่ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (เช่น การกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร มาตรฐานด้านความปลอดภัยของอาหาร) และมาตรการอุปสรรคทางการค้าด้านเทคนิค (เช่น การกำหนดมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม มาตรการเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม) ซึ่งมีบทบาทต่อการคุ้มครองผู้บริโภคและการจัดการปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจที่ยั่งยืนอาจก่อให้เกิดต้นทุนส่วนเพิ่มต่อธุรกิจ ทั้งต้นทุนการผลิต การวิจัยพัฒนา และการตลาดที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับตัวดังกล่าวน่าจะส่งผลบวกต่อองค์กรในระยะยาวในหลายมิติ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เริ่มให้ความสนใจลงทุนในธุรกิจที่มีความยั่งยืนเพิ่มขึ้น ภายใต้บริบทเศรษฐกิจปัจจุบันที่ธุรกิจต้องเผชิญความผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
จากกระแสของผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ผู้บริโภคหันมาบริโภคสินค้าทางเลือกที่ตอบความต้องการได้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น รวมถึงปัจจัยด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาว เช่น เนื้อสัตว์จากพืช/ห้องทดลอง วัสดุทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เป็นต้น
ธุรกิจรูปแบบใหม่นี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ตามแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น Impossible Foods และ Beyond Meat ที่ระดมทุนได้มากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 122 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ ซึ่งแสดงถึงการตอบรับที่ดีของนักลงทุนต่อธุรกิจ และเป็นไปในทิศทางเดียวกับผลสำรวจบริษัทชั้นนำในสหราชอาณาจักรจำนวน 500 บริษัท ที่มีการจัดทำรายงาน Climate Change
ซึ่งพบว่า ธุรกิจกว่า 31% ได้รับประโยชน์ทางการเงินทั้งจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง เช่น การได้รับเงินทุนผ่าน Green Bonds หรือ Green Loans การขยายโอกาสเข้าถึงเงินทุนจากนักลงทุนที่หลากหลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่มุ่งเน้นหุ้นยั่งยืนและการเติบโตในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นปัจจัยบวกต่อการประเมิน Credit Ratings ของบริษัทด้วย
เมื่อพิจารณาบริบทด้านความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย ภาครัฐมีบทบาทในการกำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจและให้ความรู้ผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การจัดการธุรกิจที่ยั่งยืนที่เห็นได้ชัดเจนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจจดทะเบียน ซึ่งคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.)
มีการกำหนดมาตรฐานการประเมินด้านความยั่งยืนและส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ในรายงานประจำปี นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านความยั่งยืน ก.ล.ต. ได้มีมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ (Filing) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 และขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวจนถึงเดือนพฤษภาคม 2564
สำหรับการเสนอขายตราสารหนี้ 3 ประเภท ได้แก่ ตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตราสารหนี้เพื่อพัฒนาสังคม และตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนผ่านการระดมทุน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ภาคธุรกิจในประเทศไทยเริ่มมีการออกหุ้นกู้เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ให้สอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจยั่งยืนและตอบโจทย์นักลงทุนที่หันมาให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเช่นกัน เมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้ และอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้เพื่อสิ่งแวดล้อม ที่มีอายุพันธบัตรระยะเวลา 3 ปี เท่ากัน และออกขาย (Public Offering) ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
พบว่า ในปี 2562 ส่วนต่างของตัวอย่างหุ้นกู้เพื่อสิ่งแวดล้อม และหุ้นกู้ทั่วไป อายุ 3 ปี เรทติ้ง A เมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อยู่ที่ 0.74% และ 0.76% ตามลำดับ ในขณะที่ปี 2563 ส่วนต่างหุ้นกู้ อายุ 3 ปี เรทติ้ง AAA (THA) จะอยู่ที่ 1.67% และ 1.78% ตามลำดับ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ธุรกิจเสนอให้แก่นักทุนกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 3 ปี ต่ำกว่าส่วนต่างผลตอบแทนของหุ้นกู้ทั่วไปที่มีเรทติ้งในระดับเดียวกัน
ส่งผลให้ธุรกิจที่เสนอขายหุ้นกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลงกว่ากรณีเสนอขายหุ้นกู้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติอัตราผลตอบแทนที่ธุรกิจจะเสนอขายให้แก่นักลงทุนอาจถูกกำหนดจากอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัท แผนการลงทุนในอนาคต ความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงภาพรวมตลาดในแต่ละช่วงเวลาด้วย
นอกจากนี้ ธุรกิจยังมีการปรับใช้แนวทางการจัดการที่ยั่งยืนตามหลัก ESG ที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้นและสามารถสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรได้ โดยส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากดัชนี SETTHSI หรือ SET Thailand Sustainability Investment ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG และผ่านเกณฑ์สภาพคล่องที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ที่จำนวนหลักทรัพย์และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ตามเกณฑ์ที่กำหนดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา
โดยธุรกิจในกลุ่มพลังงาน ธนาคารและการเงิน และโทรคมนาคม มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของ SETTHSI จากการเติบโตของ SETTHSI สะท้อนได้ว่า ปัจจัยด้านการจัดการที่ยั่งยืนได้เข้ามามีผลต่อการระดมทุนของภาคธุรกิจในแง่ของ sentiment การลงทุนในหุ้นที่ยั่งยืน รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณถึงผู้บริโภคถึงจุดยืนขององค์กรด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ ผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของเงินทุน
จากการประเมิน EPI ซึ่งได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ไทยยังคงต้องพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในหลายด้านที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพอากาศ การจัดการของเสีย ทั้งนี้ จากการพิจารณาปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจ ประกอบกับสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันของไทย
ซึ่งสัดส่วนภาคการผลิตที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมของไทย ในมิติปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปัญหาฝุ่นละอองในไทยยังกระจุกตัวอยู่ในภาคเกษตรกรรม พลังงานและขนส่ง เป็นหลัก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธุรกิจในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร พลังงานและการขนส่ง สารเคมี และพลาสติก จะเป็นภาคธุรกิจสำคัญที่คาดว่าจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อความยั่งยืน
ซึ่งหากทำได้ก็จะก่อให้เกิดทั้งความได้เปรียบต่อธุรกิจเองในระยะยาว รวมถึงส่งผลในทางบวกต่อความยั่งยืนโดยรวมของประเทศ และน่าจะส่งผลให้ระดับการประเมิน EPI ของไทยดีขึ้นได้ในอนาคต
กล่าวโดยสรุป ประเด็นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งทำให้ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและหาแนวทางการจัดการที่ยั่งยืนเพื่อป้องกันในระยะยาวโดยภาคธุรกิจถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจยั่งยืน ที่ส่งผลต่อทั้งการผลิตและพฤติกรรมผู้บริโภค ประกอบกับปัจจัยกดดันจากความตระหนักต่อผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในระดับประเทศและระดับโลกก็ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การปรับตัวของธุรกิจโดยใช้หลักการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนเข้ามาใช้ควบคู่ไปกับนโยบายของภาครัฐ น่าจะส่งผลในทางบวกต่อเนื่องไปสู่การแก้ไขปัญหาในระดับประเทศที่มีความพยายามดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และส่งผลต่อการประเมินดัชนี EPI ของไทยซึ่งจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นด้านการค้าการลงทุนอีกด้วย