โรคระบาดโควิด-19
น่าจะช่วยให้ประชาคมโลกหันหน้ามาร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้มหันตภัยร้ายแรงครั้งนี้อย่างสมัครสมานสามัคคี
แต่ปรากฏว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจโลก สหรัฐฯกับจีน
กลับบานปลายอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่การเจรจาการค้าระหว่างประเทศทั้งสองมีความคืบหน้าในระดับหนึ่งเมื่อต้นปี
2020 แต่หลังจากนั้น สถานการณ์โควิด-19 ที่ลุกลามรวดเร็ว โดยเฉพาะในสหรัฐฯ
ได้ส่งผลให้ประธานาธิบดี Donald Trump กล่าวโจมตีจีน
ระบุว่า เป็นต้นเหตุและบกพร่องในการป้องกัน ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่วโลก
การที่ผู้นำ
Trump
โจมตีจีนอย่างตรงไปตรงมา
ก็เพราะต้องการแสดงจุดยืนและความเข้มแข็งให้คนอเมริกันที่สนับสนุนเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ปลายปีนี้ ยังคงไว้วางใจให้เขาได้นั่งในทำเนียบขาวต่อไป
ในฐานะผู้นำสหรัฐฯที่ไม่ยอมให้ชาติใดเอาเปรียบอย่างเด็ดขาด
โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งอย่างจีน
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนง่อนแง่นลงเรื่อยๆ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จากความไม่ลงรอยทางการค้า การลงทุน และ ธุรกิจไฮเทค
ได้เริ่มขยายวงสู่ธุรกิจทางการเงินการธนาคารและตลาดหุ้น
โดยทางการสหรัฐฯได้แสดงท่าทีต่อต้านธุรกิจจีนที่ต้องการมาใช้บริการทางการเงินและตลาดหุ้นในสหรัฐฯมากขึ้น
แม้แต่
Alibaba
ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจจีนยักษ์ใหญ่
และได้ระดมทุนครั้งแรกในตลาดสหรัฐฯเมื่อปี 2014
ยังจับกระแสความไม่พอใจของสหรัฐฯได้อย่างชัดเจน และเลือกที่จะหันไประดมทุนรอบที่ 2
ในตลาดฮ่องกงแทนเมื่อปลายปีที่แล้ว ล่าสุดบริษัท NetEase ที่ทำธุรกิจด้านเกมของจีน
ก็เปลี่ยนใจมาระดมทุนในตลาดฮ่องกงแทนเป็นมูลค่าราว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กระแสความนิยมตลาดฮ่องกง
น่าจะเป็นข่าวดี
แต่ปรากฏว่าความเคลื่อนไหวของรัฐบาลและรัฐสภาจีนที่ออกกฎหมายความมั่นคงสำหรับฮ่องกงเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ได้สร้างความหวั่นวิตกให้แก่นักลงทุน นักธุรกิจ และชาวฮ่องกง
เริ่มไม่มั่นใจในระบบการปกครองที่จีนเคยสัญญาไว้ ได้แก่ หนึ่งประเทศ สองระบบ
ที่จะให้แก่ฮ่องกงจนถึงปี 2047
เนื่องจากกฎหมายความมั่นคงฉบับนี้
ได้ให้อำนาจทางการจีนเข้าไปแทรกแซงกิจการต่างๆ ในฮ่องกง โดยอ้างถึงความปลอดภัย
ซึ่งกฎหมายจะป้องกันฮ่องกงเกี่ยวกับการก่อการร้าย การแทรกแซงจากกองกำลังต่างชาติ
เป็นต้น
ประเด็นดังกล่าวได้เป็นชนวนให้รัฐบาลสหรัฐฯ
ออกมาโจมตีจีนที่ไม่รักษาคำสัญญากับฮ่องกง
โดยออกกฎหมายที่บั่นทอนเสรีภาพและความเป็นอิสระในการบริหารงานของฮ่องกง
ทำให้สหรัฐฯขู่ที่จะพิจารณาถอดถอนสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจที่ให้กับฮ่องกง
ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีส่วนช่วยให้ฮ่องกง
ทำหน้าที่ศูนย์กลางการเงินโลกอย่างมีประสิทธิภาพและได้รับความไว้วางใจแก่นักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติ
ในขณะเดียวกัน
อังกฤษที่เคยดูแลฮ่องกง ก่อนที่จะคืนให้แก่จีนอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1997
ก็ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจจีนเช่นกัน โดยกล่าวว่าจะผ่อนปรนให้ชาวฮ่องกงราว 3
ล้านคน สามารถเข้ามาทำงานและพำนักอาศัยในอังกฤษ
รวมถึงอาจพิจารณาสถานะเป็นพลเมืองอังกฤษได้ต่อไป
เส้นทางสู่ศูนย์กลางการเงินโลก
ฮ่องกง
เป็นแหล่งธุรกิจที่เฟื่องฟูมาช้านาน นับตั้งแต่อยู่ในความปกครองของอังกฤษ
และเมื่อยิ่งมาอยู่ในอาณัติของจีนตั้งแต่ปี 1997
ก็ยิ่งทำให้บทบาทของฮ่องกงสดใสมากขึ้นเป็นลำดับ
ตามความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจจีน
เนื่องจากฮ่องกงทำหน้าที่เป็นคนกลางที่ช่วยให้นักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติที่ต้องการเข้าไปทำมาหากินในจีน
ควรที่จะใช้ฮ่องกงเป็นฐานปฏิบัติการก่อนในระยะแรกๆ
ด้วยเหตุนี้
ตลาดเงินฮ่องกง จากที่เคยให้บริการลูกค้าที่ทำธุรกิจพื้นฐานทั่วไป
ก็เริ่มมีลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น จนส่งผลให้ฮ่องกง
กลายเป็นศูนย์กลางการเงินสำคัญอันดับ 3 ของโลก รองจาก ตลาดนิวยอร์ก และ ตลาดลอนดอน
สถาบันการเงินในฮ่องกง
ได้เรียนรู้เทคนิคทางการเงินใหม่ๆ เพื่อบริการลูกค้า ซึ่งในช่วงแรกๆ
จีนยังไม่มีความชำนาญเพียงพอ อาทิ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอนุพันธ์ ธนาคารส่วนบุคคล
ธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สิน ธุรกิจการเงินไฮเทค และธุรกิจประกันภัยต่างๆ เป็นต้น
ทั้งนี้
ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และต้นสหัสวรรษ 2000
ตลาดหุ้นฮ่องกงได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมทุนให้แก่พวกรัฐวิสาหกิจจีนเป็นส่วนใหญ่
ทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกงคึกคัก และต่อมา
ก็เริ่มเป็นแหล่งระดมทุนให้แก่ธุรกิจเอกชนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 2014
ตลาดฮ่องกง ก็จับมือกับตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเซินเจิ้น
โดยสามารถค้าหลักทรัพย์ข้ามตลาดระหว่างกันได้
ส่งผลให้มีการค้าหลักทรัพย์ในลักษณะดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 10%
ของการค้าหุ้นในฮ่องกง
เป็นที่น่าสังเกตว่า
ฮ่องกงได้รับบทบาทเป็นตลาดการเงินและตลาดหุ้นให้แก่ชาวจีนเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
ขณะที่ลูกค้าและนักธุรกิจฮ่องกงเองกลับลดน้อยลง ทั้งนี้
สัดส่วนธุรกิจท้องถิ่นในตลาดหุ้นฮ่องกงลดลง จากระดับเฉลี่ยราว 69%
ของมูลค่าตลาดหุ้นในปี 2000 เหลือราว 24% ในปัจจุบัน
ขณะที่ธุรกิจจีนในตลาดหุ้นฮ่องกง กลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จากเดิมประมาณ 31%
เป็นสัดส่วนราว 73% ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
อีกทั้ง
ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของจีน 9 บริษัท จากจำนวน 10 บริษัท
ก็ล้วนจดทะเบียนในตลาดฮ่องกงทั้งสิ้น เช่น Tencent และ Ping An เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น
การออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐของธุรกิจจีน ก็ล้วนดำเนินการในตลาดฮ่องกงทั้งสิ้น
แม้ว่าฮ่องกง
เริ่มทำธุรกิจการเงินการธนาคารและการค้าหลักทรัพย์ต่างๆ
ให้แก่นักลงทุนและนักธุรกิจจีนเป็นจำนวนมาก
แต่ความโดดเด่นของฮ่องกงที่ทำให้ฐานะการเป็นศูนย์กลางการเงินโลก เฟื่องฟูต่อเนื่อง
ก็คือ ปัจจัยสนับสนุนพื้นฐานของฮ่องกงที่โน้มไปทางประเทศตะวันตก
ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่แวดวงการเงินการธนาคารต่างประเทศ
เริ่มตั้งแต่ยังคงสถานะ
หนึ่งประเทศ สองระบบ สะท้อนว่าฮ่องกงยังเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีการแทรกแซงจากจีน,
ศาลยุติธรรมและกฎหมายอยู่ในระดับสากล, ธนาคารกลาง
และผู้คุมกฎในตลาดหลักทรัพย์และตลาดสำคัญๆ เป็นอิสระ, ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องรักษาระบบธรรมาภิบาลและระบบบัญชีมาตรฐานสากล
รวมถึงการมีอิสรภาพในการออกความคิดเห็น โดยเฉพาะจากผู้ถือหุ้น
เพื่อช่วยกันสอดส่องพฤติกรรมขององค์กรธุรกิจ เป็นต้น
ด้วยปัจจัยพื้นฐานดังกล่าวของฮ่องกงที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน
ได้มีส่วนทำให้ฮ่องกงได้รับสิทธิพิเศษบางประการจากสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านๆ มา
ตั้งแต่ก่อนที่จะอยู่ในความปกครองของจีน
โดยเฉพาะการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางระดมทุนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในเอเชีย
รวมถึงการที่ฮ่องกงได้ผูกเงินดอลลาร์ฮ่องกงไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างความมั่นคงในระบบการเงินการธนาคารของตน
โดยใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของฮ่องกงมูลค่าราว 440,000 ล้านดอลลาร์
เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินดอลลาร์ฮ่องกงที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ซึ่งเงินทุนสำรองฯดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่าปริมาณเงินหมุนเวียนกว่า
2 เท่า ยิ่งไปกว่านั้น
สหรัฐฯยังให้ความเชื่อมั่นว่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ใช้ในตลาดฮ่องกง
มีความน่าเชื่อถือเหมือนกับเงินดอลลาร์ในตลาดนิวยอร์ก
ด้วยเหตุนี้
ธุรกรรมทางการเงินในฮ่องกง
ส่วนใหญ่จึงนิยมทำในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างกว้างขวาง อาทิ ราว 97%
ของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจะอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ,
การกู้ยืมเงินข้ามประเทศและธุรกรรมอื่นๆ
อยู่ในสกุลดอลลาร์สหรัฐเกือบ 60%, การซื้อขายตราสารอนุพันธ์มีสัดส่วนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ
43% และการฝากเงินในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 37% เป็นต้น
โดยสรุป
คาดว่าปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐที่ทำธุรกรรมต่างๆข้ามประเทศโดยใช้บริการตลาดฮ่องกงน่าจะหมุนเวียนเป็นวงเงินราว
4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 10 ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง
ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติในฮ่องกงก็คือ
ระบบการชำระเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีประสิทธิภาพ
สามารถเชื่อมโยงกับตลาดเงินสหรัฐฯได้ตลอดเวลา ในรอบปีที่ผ่านมา
ประเมินกันว่าระบบการชำระเงินดอลลาร์ระหว่างประเทศในฮ่องกง มีมูลค่าสูงถึง 10
ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งระบบการชำระเงินดอลลาร์ระหว่างประเทศของฮ่องกง
ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติ รวมถึง สถาบันการเงินจีน และ
ทางการจีนด้วย
ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
จึงทำให้สถาบันการเงินต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจการเงินการธนาคารในตลาดฮ่องกงกันอย่างคับคั่ง
ปัจจุบัน มีธนาคารต่างชาติที่ได้รับอนุญาต 163 แห่ง
ส่วนใหญ่เป็นธนาคารชั้นนำของชาติตะวันตก นอกจากนี้
ธุรกิจจัดการสินทรัพย์ก็มีจำนวนมากกว่า 1,600 แห่ง ซึ่งส่วนมากเป็นต่างชาติ
ที่นำเงินของลูกค้าจากสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย มาแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดในตลาดฮ่องกง
ทั้งนี้
ขณะที่สถาบันการเงินต่างประเทศนิยมทำธุรกรรมทางการเงินในฮ่องกง
ปรากฏว่าสถาบันการเงินของจีน จะทำธุรกรรมให้แก่ลูกค้าในจีนเป็นสำคัญ
แต่กระนั้นก็ตาม สถาบันการเงินต่างชาติก็มีโอกาสทำธุรกรรมกับธุรกิจจีนเช่นกัน เช่น
การออกหุ้นของ Alibaba รอบที่ 2
ได้ใช้บริการธนาคารชั้นนำสหรัฐฯและยุโรป ทำหน้าที่ค้ำประกันการจำหน่าย เป็นต้น
การที่สถาบันการเงินต่างชาติหลากหลายแขนง
เข้ามาทำธุรกิจในตลาดฮ่องกงอย่างหนาแน่น
จึงส่งผลให้ภาคการเงินการธนาคารมีความสำคัญแก่ระบบเศรษฐกิจฮ่องกง
โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 26% ของ GDP และสร้างงานราว
13% ของตลาดแรงงานทั้งหมด
ส่วนใหญ่เป็นแรงงานฝีมือหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการเงินการธนาคารและกฎหมาย
รวมถึง ผู้ที่สามารถใช้ภาษาจีนกลางและภาษาต่างประเทศเป็นอย่างดี
ผลกระทบจากความบาดหมางสหรัฐฯกับจีน
นักวิเคราะห์ชั้นนำ
The
Economist ได้ให้ข้อสังเกตว่า
หลังจากที่ทางการจีนได้ออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่
และส่งผลให้มีการชุมนุมประท้วงในฮ่องกงต่อต้านกฎหมายดังกล่าวเป็นระยะๆ
ปรากฏว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน
เนื่องจากยังไม่ปรากฏเงินทุนไหลออกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งธนาคารชั้นนำเก่าแก่ที่ดำเนินกิจการในฮ่องกงยาวนาน
อย่าง HSBC และ Standard Chartered ก็ดูเหมือนจะไม่เดือดร้อนกับกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่
นอกจากนี้ ธุรกิจจีนชั้นนำ
ก็ยังแสดงความสนใจที่จะเข้าไประดมทุนในตลาดฮ่องกงต่อเนื่อง เช่น JD.Com เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
นักวิเคราะห์มองว่า กฎหมายความมั่นคงดังกล่าว
อาจแทรกซึมให้ฮ่องกงโอนเอียงไปยังจีนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
โดยผ่านทางผู้บริหารฮ่องกง
และเริ่มเข้าไปประนีประนอมกับองค์กรอิสระต่างๆของฮ่องกงอย่างช้าๆ ซึ่งในกรณีนี้
อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อฐานะศูนย์กลางการเงินฮ่องกงทันที แต่จะค่อยๆ
ทำลายความน่าเชื่อถือลงเรื่อยๆ
เพราะปัจจัยพื้นฐานของฮ่องกงที่ค้ำจุนฐานะดังกล่าวต้องเปลี่ยนไป เช่น
ขาดเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด ความโปร่งใสของธนาคารกลางและองค์กรอิสระต่างๆ
หย่อนยาน เป็นต้น ประเด็นเหล่านี้ อาจเป็นปัญหาให้ฮ่องกงทำธุรกรรมทางการเงินระดับสากลลำบาก
อีกทั้ง
อาจโดนจัดอันดับให้มีความน่าเชื่อถือลดต่ำลงจากสถาบันการจัดอันดับเรตติ้งของโลก
เมื่อพิจารณาถึงปริมาณธุรกิจทางการเงินการธนาคารในฮ่องกง
ก็น่าจะลดน้อยลง โดยกลุ่มที่ยังคงสนใจปักหลักอยู่ในฮ่องกงก็คือ
สถาบันการเงินที่ยังมีลูกค้าทำธุรกิจกับจีนอย่างเหนียวแน่น
และยังคงต้องใช้ธุรกรรมการเงินต่างๆ แต่พวกที่ไม่ได้เน้นการทำธุรกิจกับจีน
ก็อาจเบนเข็มไปยังตลาดการเงินสำคัญอื่นๆ ของโลกแทน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดหุ้นฮ่องกง อาจได้รับผลกระทบไม่มาก
เพราะบริษัทจีนจะเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงมากขึ้น
แทนที่จะออกไประดมทุนในตลาดสหรัฐฯที่ไม่น่าไว้วางใจอีกต่อไป
โดยสรุปก็คือ
หากกฎหมายความมั่นคงไม่ได้นำไปบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรมจริงจัง
แต่เป็นเพียงการป้องปราบ ก็น่าจะมีผลกระทบต่อฐานะตลาดเงินฮ่องกงไม่มากนัก
และธุรกิจการเงินการธนาคาร พร้อมตลาดหุ้นฮ่องกง
ก็น่าจะมีเวลารับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป
แต่อย่างไรก็ตาม
นักวิเคราะห์มองว่า
หากการขู่ของสหรัฐฯที่จะเพิกถอนสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจของฮ่องกงเป็นเรื่องจริง
ก็อาจจะส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อตลาดเงินฮ่องกงอย่างมาก เช่น
หากสหรัฐฯคว่ำบาตรระบบการชำระเงินดอลลาร์ระหว่างประเทศในฮ่องกง
ก็ย่อมสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก และหากสหรัฐฯไม่รับรองเงินดอลลาร์สหรัฐในฮ่องกง
ก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้
ผลกระทบที่สหรัฐฯจะได้รับอาจไม่มากนัก
เนื่องจากสถาบันการเงินสหรัฐฯมีสินทรัพย์ในฮ่องกงไม่ถึง 1% ของสินทรัพย์ทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้น
ความระส่ำระสายจากมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินของสหรัฐฯ
อาจเป็นชนวนให้เงินทุนไหลออกจากฮ่องกง
และส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงที่ผูกไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ ผันผวนอย่างหนัก
จนธนาคารกลางจีนต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ซึ่งก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายกับจีนอีกต่อไปในการระดมเงินในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ข้อสมมติฐานที่ว่าสหรัฐฯอาจเล่นบทแรงกับจีน
ย่อมส่งผลกระทบเลวร้ายแก่ฮ่องกงและจีน รวมถึงประเทศอื่นๆ
ที่ติดต่อทำธุรกรรมกับศูนย์กลางการเงินฮ่องกงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างไรก็ตาม
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่ากรณีนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะรัฐบาล Trump
ก็มีปัญหาภายในประเทศที่ต้องรับมือมากมาย อาทิ
ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำจากพิษโควิด และความแตกแยกของพลเมืองอเมริกัน ฯลฯ ดังนั้น
การเตรียมตัวของ Trump เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2
ก็ไม่น่าจะเล่นบทรุนแรงที่จะสร้างความปั่นป่วนทางการเงินไปทั่วโลก
ซึ่งจะสร้างความไม่พอใจในเวทีโลกที่มีต่อสหรัฐฯมากกว่า
แต่สำหรับทางการจีน
สถานการณ์ที่สหรัฐฯใช้ข่มขู่จีน ไม่ได้เหนือความคาดหมายนัก
ทำให้จีนมีแผนการที่จะพัฒนาระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล เพื่อลดบทบาทระบบการชำระเงินระหว่างประเทศในปัจจุบัน
รวมถึงเงินดอลลาร์สหรัฐด้วย
อีกทั้งจีนยังได้พยายามที่จะผลักดันเงินหยวนให้เป็นสกุลเงินดิจิทัลสากลโดยเร็วที่สุด
เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในโลกธุรกิจอนาคต