บทบรรณาธิการ
ไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสุขภาพอนามัย การแพร่ระบาดที่ยังลามไม่รู้จุดจบ นำมาซึ่งความสูญเสียครั้งร้ายแรงสุดของมนุษย์โลกในรอบเกือบ 1 ศตวรรษ สำหรับประเทศไทยวิกฤตที่เวลานี้รุนแรงยิ่งกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540
สะท้อนจากตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจไทย ที่หลายสถาบันต่างวิเคราะห์คาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ปีนี้การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะโตติดลบ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลด GDP ปี 2563 ทั้งปีลงอยู่ในระดับ -8.1% ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโต -7.7% เทียบกับช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งเศรษฐกิจไทยปี 2541 ขยายตัว -7.6%
เนื่องจากครั้งนี้เศรษฐกิจไทยเจอแจ็กพอตสองต่อ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจโลก และวิกฤตโควิด ผลกระทบและความเสียหายจึงมีตามมาต่อเนื่อง แม้สถานการณ์โควิดจะคลี่คลาย แต่เศรษฐกิจในภาพรวมบอบช้ำหนัก การปิดโรงงาน สถานประกอบการ ประกาศเลิกจ้างยังมีให้เห็นรายวัน
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายกลางรายย่อย หรือ SMEs ซึ่งกระจายอยู่ในธุรกิจหลากหลายสาขา มีปัญหารุนแรง จากความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพารายได้หลักภายนอกจากภาคส่งออกและการท่องเที่ยว เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การเดินทาง การท่องเที่ยวระหว่างประเทศชะงัก การนำเข้าส่งออกถูกปิดล็อก เท่ากับวิกฤตซ้ำซ้อน ธุรกิจทั้งเล็ก ใหญ่ รายได้ลดฮวบ สวนทางกับภาระต้นทุน หนี้สินที่พุ่งขึ้น
ที่เหลือรอดก็ต้องปรับตัว ลดขนาดองค์กร ลดจำนวนสาขา เพราะนอกจากยอดขาย กำลังซื้อผู้บริโภคจะลดลงรุนแรงแล้ว มองไปข้างหน้ายังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ที่น่าห่วงยิ่งกว่านั้นคือโควิดกลับมาระบาดรอบสอง แม้การปรับโหมดสู่ภาวะปกติแบบ new normal ให้เศรษฐกิจได้เดินหน้าจะเป็นเรื่องจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับทางการเงิน ต้นทุน ศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ SMEs ธุรกิจร้านค้ารายย่อยจำนวนมากอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ ไม่อาจเข้าถึงมาตรการสนับสนุนส่งเสริม กลายเป็นกลุ่มที่อยู่นอกระบบ ตกสำรวจ แม้แต่การช่วยเหลือเยียวยาก็เข้าไม่ถึง
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักและให้ความสำคัญกับธุรกิจรายย่อย SMEs เพราะแม้จะเป็นคนตัวเล็กแต่ธุรกิจเหล่านี้เปรียบเหมือนฐานรากของเศรษฐกิจไทย
หากไม่เร่งช่วยเหลือต่อลมหายใจให้ฟื้น เป็นฟันเฟืองหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ก็คงต้องเสี่ยงพึ่งพารายได้จากภายนอกแบบเดิม ๆ ทั้งที่ควรสร้างสมดุลเศรษฐกิจภายในซึ่งจะมั่นคงยั่งยืนมากกว่า