เผยแพร่:
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ (Palo Alto Networks) ถูกยกเป็นผู้นำตลาดความปลอดภัยเครือข่ายไซเบอร์แซงคู่แข่งอย่างซิสโก้ (Cisco) ได้สำเร็จในไตรมาส 1 ปี 63 ผู้บริหารเผยรายได้จากไทยทุบสถิติสูงที่สุดในอาเซียน ยอมรับปัจจัยผลักดันคือโครงการผ่อนผัน “จ่ายหลังโควิดเบาบาง” ยืนยันคำเดิมว่าไม่เห็นองค์กรไทยชะลอการลงทุนเรื่องซีเคียวริตี้ มั่นใจตลาดซีเคียวริตี้คลาวด์แรงต่อเนื่องเช่นเดียวกับไฟร์วอลล์ที่จะฮ็อตต่อถึงปีหน้า
ดร. ธัชพล โปษยานนท์ ผู้อำนวยการ บริษัท พาโล อัลโต เน็ตเวิร์ค ประเทศไทย และอินโดจีน กล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทช่วงเดือนก.พ.-เม.ย. 63 ว่ามีรายได้เติบโต 20% รวมจำนวนลูกค้ามากกว่า 73,000 รายใน 150 ประเทศ โดยบริษัทใหญ่ในอันดับฟอร์จูน 100 เป็นลูกค้าบริษัทเกือบทั้งหมด โดยไทยเป็นตลาดที่ทำรายได้สถิติใหม่มากกว่าทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“รายได้ไตรมาสปัจจุบัน คาดหวังว่าจะดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมาแน่นอน การเติบโตจะยังเป็นเลข 2 หลัก” ดร. ธัชพลกล่าว “โครงการที่เราเปิดให้ลูกค้าใช้บริการก่อนแล้วจึงจ่ายเงินช่วงหลังวิกฤติชะลอตัวหรือสิ้นปีนี้เรียกว่าฮิตมาก เพราะทุกคนติดขัดเรื่องกระแสเงินสด โครงการนี้ติดตลาด เพราะลูกค้าต้องปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกโจมตีทางไซเบอร์ เเป็นโครงการที่ทำให้พาโล อัลโตฯ ทำตลาดได้ดี โดยเฉพาะไทยที่ทำรายได้ดีที่สุดในอาเซียน”
จากการติดตามรายได้ของบริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของบริษัทวิจัยชื่ออะแนไลซิสเมสัน (Analysys Mason) ระบุว่าพาโล อัลโต เน็ตเวิร์คมีรายรับในไตรมาสแรกปี 2563 ราว 869 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลจากแรงหนุนการซื้อกิจการ 11 ดีลใหญ่ที่คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,500 ล้านเหรียญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้รายรับของบริษัทพุ่งพรวด ทั้งที่ในไตรมาสที่ 1 ปี 58 บริษัทมีรายได้ราว 234.2 ล้านเหรียญเท่านั้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ สถิติรายได้พาโล อัลโตฯนั้นสูงกว่ารายรับในธุรกิจรักษาความปลอดภัยเครือข่ายของซิสโก้ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 63 ที่ทำรายได้ 776 ล้านเหรียญ ตามข้อมูลของ Analysys Mason พบว่าฟอร์ติเน็ต (Fortinet) ครองตำแหน่งอันดับ 3 ด้วยรายรับธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้ 577 ล้านเหรียญในไตรมาสเดียวกัน
ตัวเลขผลประกอบการเหล่านี้ทำให้ผู้บริหารพาโล อัลโตฯยืนยันว่าแม้วิกฤติโควิด-19 จะทำให้บริษัทระวังการลงทุน แต่พบว่าแทบทุกบริษัทให้ความสนใจลงทุนเรื่องซีเคียวริตี้เป็นอันดับแรก ทำให้ไม่เห็นการตัดงบ โดยพบว่าช่วงหลังการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 ลูกค้าองค์กรมีการรีเฟรชหรือการอัปเดทระบบรักษาความปลอดภัยให้ทันสมัย และมีการลงทุนไฟร์วอลล์เจเนอเรชันใหม่สูงมาก เนื่องอาจกังวลว่าไฟร์วอลล์ยุคเก่าอาจรองรับไม่ได้
ล่าสุด พาโล อัลโตฯ ได้สำรวจความคิดเห็นขององค์กรไทยตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 พบว่าสิ่งที่ยังโดดเด่นต่อเนื่องถึงช่วงหลังเกิดโควิดแล้ว คือความจำเป็นในการพัฒนาการตระหนักรู้ของคน ทั้งด้านการสื่อสารและการอบรม เนื่องจากคนเป็นเหตุผลหลักที่จะทำให้การโจมตีเกิดขึ้น สำหรับสิ่งที่โดดเด่นขึ้นในช่วงหลังโควิด-19 คือการให้ความสำคัญกับคลาวด์ซีเคียวริตี้ เพราะก่อนนี้บางองค์กรมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ แต่หลังจากนี้จะเกิดมุมมองใหม่
ด้านการเลื่อนบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ PDPA ออกไป 1 ปี ดร. ธัชพลชี้ว่าไม่มีผลให้บริษัทชะลอการลงทุน เนื่องจากเป็นการประกาศในช่วงปลาย พ.ค. 63 ซึ่งแทบทุกบริษัทพยายามลงทุนเพื่อปรับให้ระบบรองรับกฏหมาย ทำให้การเบรกหรือตัดงบลงทุนไม่ทันกับช่วงการระบาดของโควิด-19 ช่วงเดือน เม.ย. 63
นายคงศักดิ์ ก่อตระกูล ผู้จัดการวิศวกรรม ประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน กล่าวถึงแนวโน้มการโจมตีช่วงครึ่งหลังปีนี้ ว่าจะยังเด่นเรื่องแรนซัมแวร์ ที่จะโจมตีเฉพาะอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่นหน่วยงานสาธารณูปโภค คาดว่าอนาคตจะเห็นการโจมตี IoT มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังมีเรื่องการขโมยบัญชีแอคเคาท์ และปลอมแปลงบุคคล
อีกแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมซีเคียวริตี้ไทย คือตลาดออนพริมิสจะลดลง และเปลี่ยนไปที่คลาวด์มากขึ้น
“วันนี้ลูกค้ามองว่าอุปกรณ์ไหนที่ไม่จำเป็น ก็จะต้องการยุบรวม เพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่าย ผมได้ยินคำถามจากลูกค้าบ่อยมาก ว่าถ้าเปลี่ยนมาใช้ระบบนี้ จะยกเลิกอะไรได้บ้าง อีกแนวโน้มคือลูกค้าวันนี้ต้องย้ายไปทำธุรกิจบนออนไลน์ การขึ้นทีละเซิร์ฟเวอร์บนคลาวด์นั้นรองรับไม่ทัน ก่อนนี้ ทรานเซ็กชันออนไลน์อยู่ที่หลักพันถึงหมื่นทรานเซ็กชันต่อวัน แต่หลังจากโควิด ตัวเลขนี้เปลี่ยนเป็นแสนถึงล้านทรานเซ็กชันต่อวัน การสร้างเซิร์ฟเวอร์บนคลาวด์แบบเดิมจึงรองรับไม่ทัน แนวโน้มที่เกิดขึ้นจึงมีการพยายามทำบริการที่ไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์”
คงศักดิ์ทิ้งท้ายว่า ไซเบอร์ซีเคียวริตี้จะยังไม่มีจุดจบ แม้ช่วงโควิด-19 จะเป็นช่วงที่เหมือนว่าแฮกเกอร์ใจดีและพักการโจมตีไป แต่เมื่อโควิดเบาบาง การโจมตีก็กลับมาเช่นเดิม.