“สิ่งหนึ่งที่นายกฯ Li ย้ำอย่างหนักแน่นก็คือ
จะฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนอย่างเต็มที่และเร็วที่สุด โดยเฉพาะการจ้างงานที่จะต้องรีบดำเนินการอย่างแข็งขันทั่วทุกหนแห่งในแผ่นดินมังกร
เพราะงานคือรายได้ และรายได้คือกำลังซื้อ
ซึ่งจะตามมาด้วยการผลิตและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น”
ไม่ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ
Donald Trump จะเล่นทุกวิถีทางยังไงก็ตาม
ที่จะห้ามธุรกิจอเมริกันเข้าไปยุ่มย่าม ทำมาหากินในแผ่นดินแดนมังกร
แต่ก็ดูเหมือนจะเสียเวลาเปล่าๆ และพวกนักธุรกิจมะกันก็ทำเป็นหูทวนลมอีกต่างหาก หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ The Wall Street Journal ได้ให้เหตุผลที่ธุรกิจลุงแซมดื้อรั้นไม่ฟังผู้นำประเทศ
แถมยังไม่กลัวพิษสงของสงครามการค้า หรือสารพัดแรงกดดันต่างๆ ของ Trump ที่จะเข็นออกมาไล่บี้จีนในเร็วๆ นี้
ก็เพราะธุรกิจมะกันต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงจากพิษโควิด-19 เสียก่อน มัวแต่งอมืองอเท้ากลัวปัญหาต่างๆ หรือ
แบมือขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล Trump อย่างเดียว
ก็ม้วนเสื่อได้เลย
ตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ
ไม่ได้มโนไปเองก็คือ
ธุรกิจอเมริกันที่เพิ่งเปิดตัวในจีนเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
สื่อชั้นนำเมืองลุงแซมเห็นคาตาเลยว่า ร้านอาหารยอดฮิตสายเลือดโคบาล Popeyes
Louisiana Kitchen มีลูกค้าบู๊ลิ้มเข้าคิวยาวเหยียด
เว้นระยะห่างทางสังคมตามกติกาของทางการอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้มีสิทธิได้ลิ้มลองไก่ทอดอเมริกันฟาสต์ฟู้ดแห่งใหม่สักชิ้นหนึ่ง
แม้ว่าจะต้องยืนขาแข็งรอคอยกันเป็นชั่วโมงๆ
หนุ่มวัย
18 ปี นาย Oliver Kong บอกกับนักข่าวว่า
เขาชอบอาหารสไตล์อเมริกัน โดยเฉพาะ McDonald’s แต่ก็อยากชิมของใหม่ๆ
ด้วย สะท้อนว่า คนจีนส่วนหนึ่ง ยังคงชื่นชอบอาหารหรือสินค้าสหรัฐฯ
มองข้ามความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯกับจีน
รวมถึงการพูดจาเลอะเทอะของผู้นำแยงกี้ที่ดูตลกกว่าเหล่าการ์ตูนของดิสนีย์ ทั้งนี้ Popeyes
แบรนด์ดังล่าสุดที่เปิดตัวในตลาดจีน ประกาศชัดเจนว่า จะเปิดให้ครบ 1,500 สาขา อย่างแน่นอน
ไม่ใช่แค่ธุรกิจมะกันเท่านั้น
ที่มองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์จากแดนมังกร พวกธุรกิจยุโรป ก็ได้พิสูจน์เช่นกัน
เช่น ร้านแบรนด์หรู Burberry ก็เพิ่งเปิดกิจการในจีนได้อีกครั้ง
หลังจากทางการจีนปลดล็อกดาวน์ ภาพที่ปรากฏไม่แตกต่างจากร้าน Popeyes ยกเว้นอายุของลูกค้า นั่นก็คือ เหล่าอาซิ่มอาซ้อกระเป๋าหนักทั้งหลาย
แห่กันไปยืนเข้าคิว เพื่อจะได้เลือกซื้อกระเป๋า เสื้อผ้า
ของยี่ห้อไฮโซในดวงใจซักที
การที่บริษัทต่างชาติต้องรีบเดินหน้าเข้ามาค้าขายในเมืองมังกรอย่างจริงจัง
แม้ว่าสถานการณ์ในจีน ก็มีปัจจัยเสี่ยงไม่น้อย แต่เมื่อบวกลบคูณหารกันแล้ว
ก็น่าจะยอมลุ้นในจีนดีที่สุด เพราะโอกาสการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีน
เห็นทีจะมีมากกว่าประเทศอื่นๆ ที่ล้วนโดนถล่มจากโควิดทั่วหน้า
ธุรกิจสหรัฐฯดูเหมือนแทบจะไม่ต้องคิดเยอะ
เพราะเหตุการณ์ในเมืองโคบาลยุ่งเหยิงไปหมด โรคระบาดก็ยังคงประจานการจัดการของผู้นำประเทศว่าเพี้ยนและสับสนแค่ไหน
แถมยังมีเรื่องราวความแตกแยกภายในสังคมอเมริกัน
ก็ยิ่งทำให้พวกธุรกิจสหรัฐฯ ที่สามารถหลบหนีความหายในประเทศตัวเองได้
ก็เผ่นไปแสวงหาตลาดอื่นๆ ก่อนดีกว่า และแดนมังกรก็ดูเข้าท่าที่สุด แน่นอนว่า
ผลกระทบจากโควิดที่ปะทุในจีนครั้งแรกในเมือง Wuhan ได้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาเรื่อง
Supply Chain เป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจต่างชาติต้องคิดทบทวนหลายๆ รอบ
เพราะการกระจุกกำลังการผลิตต่างๆ ไว้กับจีนมากเกินไป
ย่อมเสี่ยงที่จะเสียหายเหมือนตอน Wuhan ต้องปิดเมือง
แต่สำหรับธุรกิจที่ป้อนตลาดจีนโดยตรง
ไม่ต้องลังเลมากนัก พลังซื้อรออยู่แล้ว
แม้ว่าจะมีเสียงเตือนว่าให้ระวังคู่แข่งเจ้าถิ่นให้ดีๆ
เพราะฝีไม้ลายมือไม่เบาและอาจเหนือกว่าบริษัทต่างชาติ
แต่บรรดาสภาหอการค้าสหรัฐฯและยุโรปที่อยู่ในจีน ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
ถ้ามัวจดๆ จ้องๆ ไม่กล้าเข้ามาในตลาดจีน อีกไม่ช้าธุรกิจบู๊ลิ้มก็จะออกไปหาถึงหน้าบ้านเราเอง
ดังนั้น ควรเป็นฝ่ายที่บุกเข้าไปหาพวกเขาก่อนจะดีกว่า และเวลานี้
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ก็มองเห็นแต่ความมืดมนเต็มไปหมด ไม่ควรอ้อยอิ่งให้เสียโอกาส
ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีน
จะไม่ได้สวยหรูหรือน่าไว้วางใจเท่าใดนัก เนื่องจากไตรมาสแรกของปี 2020 อัตราการเติบโตของ GDP ก็หดหายไปถึง –6.8% นับเป็นการถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งแรกในรอบ 4 ทศวรรษ
แถม นายกรัฐมนตรี Li Keqiang ก็ได้ปราศรัยในที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ
เปิดเผยว่า เศรษฐกิจจีนในปีนี้ลำบาก จากพิษโควิด ทำให้การบริโภค การลงทุน และ
การส่งออกของประเทศ ลดต่ำไปหมด และทางการจีน
ก็จะไม่ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในปีนี้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เพราะความไม่แน่นอนของโรคระบาดและสถานการณ์ต่างประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่นายกฯ Li
ย้ำอย่างหนักแน่น ก็คือ จะฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนอย่างเต็มที่และเร็วที่สุด
โดยเฉพาะการจ้างงานที่จะต้องรีบดำเนินการอย่างแข็งขันทั่วทุกหนแห่งในแผ่นดินมังกร
เพราะงานคือรายได้ และรายได้คือกำลังซื้อ
ซึ่งจะตามมาด้วยการผลิตและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น
ได้ฟังนายกฯ เมืองมังกรสัญญิงสัญญา
พวกธุรกิจต่างชาติก็ใจชื้นขึ้นเยอะ อีกทั้ง ธนาคารโลก
ก็ได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลก
ซึ่งดูอับเฉาที่สุดตั้งแต่ปี 1900 แต่ในบรรดายอดแย่ทั้งหลาย
ปรากฏว่าจีนยังสามารถประคองตัวให้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นในปีนี้ไว้ได้ประมาณ 1% ขณะที่ชาติชั้นนำอื่นๆ เช่น สหรัฐฯ หดตัวไปเลย –6.1%, กลุ่มยูโร หดตัว –9.1%, ญี่ปุ่น ถดถอยลง –6.1% ส่วนพวกตลาดเกิดใหม่แนวหน้าอย่าง บราซิล หดตัว –8%, เม็กซิโก ถดถอย –7.5% และอินเดีย ตกต่ำลง –3.2% เป็นต้น ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ ธนาคารโลก บอกชัดๆ ว่าอาจมีการปรับลดได้อีก
หากโควิดระบาดลุกลามไม่เลิก และสร้างความโกลาหลให้แก่เศรษฐกิจและการเงินโลกสาหัสกว่าเดิม
ซึ่งคาดว่าในปีนี้ เศรษฐกิจโลกหดตัวราว –5.2%
แต่ถ้าเหตุการณ์ยังทวีความร้ายแรง ชาวโลกอาจได้เห็นเศรษฐกิจถดถอย –8% และคนตกงานหลายร้อยล้านคน
เมื่อหันมองทางไหนก็ทรุดโทรมย่ำแย่ไปทั่ว
พวกธุรกิจต่างชาติจึงยอมเสี่ยงเจ๊งกับตลาดจีนดีกว่า ถึงแม้ Trump จะข่มขู่เกือบรายวัน ที่จะตัดสัมพันธ์กับจีนทุกเรื่อง
จนทำให้ทางการจีนต้องออกมาขัดคอตอบโต้บ้าง แต่ในทางปฏิบัติ
พวกนักธุรกิจต่างชาติยิ้มแก้มปริ
เพราะทางการจีนได้มีการปรับปรุงระเบียบกฎเกณฑ์การลงทุนต่างชาติให้ผ่อนคลายมากขึ้น
มีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงขั้นตอนทางกฎหมายชัดเจนโปร่งใสกว่าเดิม
เมื่อต้นปี 2020 จนประธานหอการค้าอเมริกันในนครเซี่ยงไฮ้
ออกมายอมรับว่า ธุรกิจสหรัฐฯจำนวนมากพอใจกับระเบียบใหม่ และ
จะเดินหน้าขยายกิจการในจีนต่อไป ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีพาณิชย์จีน นาย Zhong Shan
ก็บอกกับนักข่าวตะวันตกอย่างไม่อ้อมค้อมว่า
บริษัทต่างชาติที่เลือกทำธุรกิจในจีน ล้วนมีอนาคตสดใสทั้งนั้น
การลงทุนโดยตรงของสหรัฐฯในแดนมังกร
ค่อนข้างมีเสถียรภาพในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
โดยมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 14,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 10-12%
ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมดของจีน
ยิ่งไปกว่านั้น
กูรูเศรษฐศาสตร์ พยากรณ์ว่ากระแสการลงทุนของต่างชาติที่จะเข้ามาในตลาดจีน
อาจเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางความซบเซาของตลาดโลก เพราะเสน่ห์จำนวนประชากรจีน 1,400 ล้านคน พร้อมกับพลังซื้อที่ยังมีเรี่ยวมีแรง จะเป็นปัจจัยดึงดูดอย่างดี
แถม การรับมือกับโรคระบาดก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าไว้วางใจ อย่างน้อยๆ
ก็ควบคุมโรคได้เร็วกว่าชาติตะวันตกหลายแห่ง
ยกตัวอย่าง
บริษัทต่างชาติที่ประกาศเชื่อมั่นตลาดจีน และเตรียมขยายกิจการฝ่าวิกฤติโควิด อาทิ Tim
Hortons ธุรกิจกาแฟแบรนด์ดังจากแคนาดา วางเป้าเปิดสาขาให้ครบ 1,500 แห่ง เพราะจากการชิมลางทดลองเปิดขายชิลล์ๆ 2-3 แห่ง
ปรากฏว่าลูกค้าหนุ่มสาวบู๊ลิ้มอุดหนุนสนั่น ส่วนด้านค้าปลีก อย่างยักษ์ใหญ่ Walmart
ก็เดินหน้าแผนงานที่จะขยายอีกราว 500 สาขา
ภายใน 5-7 ปี เพราะมองเห็นจำนวนชนชั้นกลางแดนมังกรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และพอใจที่จะเลือกซื้อสินค้าใน Walmart หรือแม้แต่ห้างมะกันคู่แข่ง
Costco Wholesale Corp ที่เพิ่งเหยียบแผ่นดินจีนเมื่อปีที่แล้ว
ก็ไม่ลังเลที่จะขยายสาขาอย่างน้อยๆ อีก 2 แห่ง เร็วๆ นี้
ส่วนธุรกิจที่คุ้นหูกันดี
ได้แก่ รถยนต์ Tesla ของมหาเศรษฐีสหรัฐฯ Elon Musk ซึ่งได้รับการต้อนรับจากทางการจีนเป็นอย่างดีเมื่อปลายปีที่แล้ว
เตรียมขยายโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในนครเซี่ยงไฮ้ คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ และที่พลาดไม่ได้ก็คือ Exxon ธุรกิจด้านน้ำมันและผลิตภัณฑ์เปโตรเคมีชั้นนำของสหรัฐฯ
ได้ทุ่มทุนสร้างโรงงานในเมือง Huizhou เป็นมูลค่าราว 10,000 ล้านดอลลาร์
หลังจากทางการจีนได้ออกกฎระเบียบใหม่ที่อนุญาตให้ธุรกิจต่างชาติแขนงนี้
สามารถเป็นเจ้าของโรงงานเคมีภัณฑ์ได้เต็มที่เป็นครั้งแรก
ลองแบบนี้ Exxon ไม่สนองศรัทธาทางการจีน ก็คงต้องเสียโอกาสให้แก่คู่แข่งรายอื่นๆ แน่นอน
นอกจากนี้ ล่าสุดแว่วมาว่า กิจการสวนสนุกระดับอินเตอร์ Universal Park
& Resorts สะกิดทางการจีนว่า บริษัทยังคงมีแผนที่จะลงทุนมูลค่า 6,500 ล้านดอลลาร์
เพื่อเนรมิตสวนน้ำและสถานที่พักผ่อนเดอลุกซ์ที่สุดในกรุงปักกิ่ง
ความเคลื่อนไหวของธุรกิจฟากยุโรป
ได้แอบสอดส่องท่าทีธุรกิจมะกันว่า ยอมเสี่ยงไปตายเอาดาบหน้าในตลาดจีนมากน้อยแค่ไหน
และผลลัพธ์ที่เห็นๆ ก็คือ ศักยภาพตลาดจีนยังมีอีกเยอะ
โดยเฉพาะตลาดแฟชั่นแบรนด์หรูของยุโรป ที่มีแฟนคลับเหนียวแน่นในตลาดจีน ควรรีบๆ
เข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงจีนที่นับวันกำลังซื้อจะเพิ่มมากขึ้น
แถม ยังชอบจับจ่ายใช้สอยพวกสินค้าฟุ่มเฟือยหรูหราจากต่างประเทศอีกต่างหาก
ความจริงธุรกิจแฟชั่นชั้นนำยุโรป
อาทิ Hermes, Gucci, Chanel และ Burberry ฯลฯ ก็รู้อยู่เต็มอกว่าตลาดจีนสำคัญแค่ไหน เพราะปัจจุบันยอดขายสินค้าแบรนด์เนมของยุโรป
ประมาณ 1 ใน 3
ล้วนขายดีเป็นเทน้ำเทท่าให้แก่ลูกค้าบู๊ลิ้มทั้งนั้น
ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมไปแล้ว และสำคัญที่สุด
มากกว่าลูกค้าสหรัฐฯและยุโรป ด้วยเหตุนี้ กลุ่มธุรกิจแฟชั่นจึงเป็นพวกอันดับต้นๆ
ของยุโรป ที่เก็บกระเป๋ามุ่งสู่แดนมังกรกันเป็นแถว ทั้งนี้ ยี่ห้อดังๆ
ล้วนปักหลักในตลาดจีนเรียบร้อยแล้ว ก่อนวิกฤติโควิดเสียอีก
แต่อาจมีบางแบรนด์ที่ยังรีรอหลงเหลืออยู่ เช่น Christian Dior เป็นต้น
การที่ธุรกิจแฟชั่นหรูหราของยุโรป
ต้องรีบตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป เพื่อลองเสี่ยงในแดนมังกร เพราะที่ผ่านมา
ลูกค้าจีนนิยมเดินทางท่องเที่ยวในยุโรป
และจะแห่กันไปจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือยจากยุโรปมากมายมหาศาล
คิดเป็นสัดส่วนราว 70%
ของยอดขายที่ร้านดังเหล่านี้ขายให้แก่นักท่องเที่ยงต่างชาติทั้งหมด
แต่เมื่อเกิดโรคระบาดร้ายแรง ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศต้องหยุดชะงักอย่างสิ้นเชิง
และยังไม่มีวี่แววว่าจะเปิดดำเนินธุรกิจการบินเป็นปกติเมื่อใด
ยอดขายสินค้าแฟชั่นแบรนด์หรูทั้งหลายตกต่ำกันระเนระนาดในยุโรป
ในเมื่อลูกค้าจีน
เดินทางออกมาไม่ได้ พวกร้านแฟชั่นชั้นนำเหล่านี้ ที่มีกิจการอยู่ในตลาดจีนบ้างแล้ว
จึงมีแผนการที่จะขยายสาขาและตอบสนองกลุ่มแฟนคลับชาวจีนอย่างเต็มที่
สร้างความรู้สึกและบรรยากาศให้เสมือนหนึ่งว่าเข้าไปช้อปปิ้งในร้านฝรั่งเศสหรืออิตาลี
ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
หรือ IMF ได้มีส่วนทำให้ธุรกิจยุโรป
มุ่งสู่ดินแดนดอกท้ออย่างมั่นใจยิ่งขึ้น เมื่อ IMF ระบุว่า
วิกฤติโควิดในสหรัฐฯและยุโรป น่าเป็นห่วงมากกว่าจีนหลายเท่า นอกจากนี้
กลุ่มลูกค้าจีนที่หลงใหลแฟชั่นจากยุโรป
ดูจะมีอายุน้อยกว่ากลุ่มลูกค้าจากฟากตะวันตก
ทำให้ลูกค้าจีนยังไม่ค่อยแบกภาระมากมาย และมีกำลังซื้อสินค้าดีไซน์หรูมากกว่า
แถมยังเป็นกลุ่มคนที่ชอบเล่นโซเชียล
ยิ่งทำให้การใช้สินค้าแบรนด์เนมเพื่อโชว์เพื่อนฝูงกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมหนุ่มสาวเมืองมังกร
ทั้งนี้ ประเมินกันว่า ยอดขายสินค้าแฟชั่นหรูของยุโรปในตลาดจีน
จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 88,000 ล้านยูโร ภายในปี 2025 หรือเพิ่มจากยอดขายในปี 2019 เกือบ 3 เท่า
เป็นที่น่าสังเกตว่า
ธุรกิจต่างประเทศอีกแขนงหนึ่ง ที่เฝ้าคอยพลังซื้อจากคนจีนเหมือนกันก็คือ
ธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ ที่เคยต้อนรับทัวร์จีนอย่างคับคั่ง
ล้วนโดนพิษโควิดชนิดตั้งตัวไม่ทัน ต้องปิดกิจการกันเป็นแถว
เพราะการเดินทางระหว่างประเทศต้องหยุดหมด จนกว่าโรคระบาดจะคลี่คลายจริงๆ
ก่อนหน้านี้ นักเดินทางท่องเที่ยวชาวจีน มีบทบาทมากที่สุดในธุรกิจท่องเที่ยวโลก
แห่ออกไปเที่ยวเป็นจำนวนมากทุกหนทุกแห่ง และมีการใช้จ่ายเงินทองกันไม่อั้น เช่น
ในปีที่แล้ว ร้านค้าปลอดภาษีของเกาหลีใต้ รับทรัพย์จากทัวร์จีน คิดเป็นสัดส่วนกว่า
80% ของยอดขายทั้งหมด เป็นต้น
นาง
Gloria Guevara แห่งสภาการเดินทางและท่องเที่ยวโลก
ออกมายอมรับกับบรรดาสมาชิกว่า ธุรกิจท่องเที่ยวโลกคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ (มากๆ)
กว่าจะฟื้นตัว และที่สำคัญก็คือ นักท่องเที่ยวจีน อาจไม่ฟู่ฟ่าเดินทางไปต่างแดนเหมือนเมื่อก่อน
เพราะหวาดระแวงว่าโรคโควิดจะทำให้หลายประเทศรู้สึกต่อต้านคนจีนไม่มากก็น้อย
ในฐานะที่เป็นต้นตอของโรคระบาดครั้งนี้ จนคนตายนับแสนๆ และเศรษฐกิจพังพินาศไปทั่ว
ทำให้คนจีนต้องกลายเป็นจำเลยของโลก!!