ฟุตบอลคือกีฬาอันดับหนึ่งของโลก ในหลายประเทศ กีฬานี้ได้รับความนิยมมหาศาล เป็นกีฬาขวัญใจประจำชาติ มีแฟนบอลคอยติดตามมากมาย กระแสฟุตบอลเติบโต เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ
แต่ที่สหรัฐอเมริกา ฟุตบอลของพวกเขา กลับแตกต่างออกไป.. “ฟุตบอล” คือกีฬาอันดับหนึ่ง แต่นั่นคืออเมริกันฟุตบอล ที่เล่นกันด้วยมือ ขณะที่ฟุตบอลลูกกลมๆ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ซ็อคเกอร์” และกลายเป็นกีฬาชั้นสองในดินแดนอเมริกา
อย่างไรก็ตาม ความเป็นกีฬาที่ถูกหมางเมินกลับกลายเป็นผลดีให้กับฟุตบอลในสหรัฐฯ เพราะกีฬาชนิดนี้ได้ต้อนรับแฟนบอลอันเป็นกลุ่มคนที่ไม่ถูกต้องการในสังคมกีฬาสหรัฐฯ เข้ามามีที่ยืนในกีฬาฟุตบอล
ผลตอบรับที่กลับมาสำหรับกีฬาฟุตบอล ถือว่ามหาศาลเกินกว่าใครคาดคิด
กีฬาชั้นสอง เพื่อคนชั้นสอง
เป็นเรื่องปกติของชาติตะวันตก ที่กีฬาจะมีบทบาทสำคัญกับชีวิตของผู้คน.. ที่สหรัฐอเมริกา การเล่นหรือรับชมกีฬา มีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้คน พวกเขามีลีกกีฬาที่แข็งแกร่ง ฝังรากลึกตั้งแต่ในระดับการศึกษา กีฬาระดับมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ระดับมัธยมปลาย ได้รับความนิยมไม่แพ้กับลีกกีฬาอาชีพ
ท่ามกลางความบ้าคลั่งที่มีต่อกีฬา ชาวอเมริกันมีรสนิยมในการเสพกีฬาที่แตกต่างออกไป.. พวกเขานิยมกีฬาที่มีรากฐาน เริ่มพัฒนาในภาคพื้นอเมริกาเหนือเท่านั้น เช่น อเมริกันฟุตบอล, บาสเกตบอล, ฮ็อกกี้น้ำแข็ง, เบสบอล หรือ ขี่ม้า เป็นต้น
ฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬาของชาวยุโรปจึงถูกมองข้ามเสมอ มีความพยายามหลายครั้งจากชาวอเมริกันผู้มีใจรักกีฬาลูกหนังใบกลม พยายามจะนำกีฬานี้ไปเผยแพร่บนดินแดนอเมริกา แต่ผลตอบรับที่ได้กลับมาคือ ความล้มเหลว
เหตุผลสำคัญมาจากสิ่งที่เรากล่าวไปข้างต้น ชาวอเมริกันมีกีฬามากมายหมุนเวียนให้พวกเขาชมตลอดทั้งปี.. 4 ลีกกีฬาหลักของพวกเขา NFL (อเมริกันฟุตบอล), MLB (เบสบอล), NBA (บาสเก็ตบอล), NHL (ฮ็อกกี้น้ำแข็ง) ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันแข่งตลอดทั้งปี เรียกได้ว่าบนหน้าปฏิทินทุกวันในสัปดาห์จะมีการแข่งขันกีฬาให้คนอเมริกันรับชมไม่มีหยุดพัก
เมื่อรูปแบบกีฬาที่ถูกมัดรวมในฐานะอเมริกันเกมส์ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี.. ฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬาของคนนอก จึงต้องพบกับปัญหาที่จะเข้าไปนั่งในใจของคนอเมริกัน เพราะพวกเขามีสังคมกีฬาที่สมบูรณ์แบบในดวงใจอยู่แล้ว ฟุตบอลจึงถูกหมางเมิน ไม่ได้รับความสนใจจากชาวอเมริกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆก็คือ ในช่วงปลายยุค 70’s ถึงกลางยุค 80’s สหรัฐอเมริกาเคยก่อตั้งลีกชื่อ NASL พร้อมสร้างกระแสด้วยการดึงสตาร์ดังค้างฟ้าแห่งโลกลูกหนัง ไม่ว่าจะเป็น เปเล่, ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์, จอร์จ เบสต์ หรือ โยฮัน ครัฟฟ์ มาเล่นในลีก.. แม้จะเรียกความสนใจได้ แต่ความนิยมที่ค่อยๆเสื่อมถอย ที่สุดแล้ว ลีกก็ต้องปิดตัวลงหลังแข่งไปได้เพียง 17 ฤดูกาลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลโลก 1994 ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพ สร้างกระแสให้กีฬาฟุตบอลเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวอเมริกันได้ในที่สุด จนนำไปสู่การก่อตั้งลีกฟุตบอล MLS.. แต่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายสำคัญ คือจะหาฐานผู้ชมกลุ่มไหนที่จะเข้ามาตีตั๋วดูฟุตบอลในสนาม?
กีฬาในสหรัฐฯมาคู่กับการเป็นธุรกิจ หากฟุตบอลไม่สามารถสร้างเงินและมูลค่าได้ตามที่เหล่านักลงทุนต้องการ กีฬาลูกหนังใบกลมคงต้องพบกับความล้มเหลวอีกครั้ง
แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในการเอาชนะใจอเมริกันชนพันธุ์แท้ แต่สังคมอเมริกายังมีกลุ่มคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการพื้นที่แสดงออกถึงความรักในเกมกีฬา และฟุตบอลเข้ามาเป็นกีฬาที่ให้โอกาสนั้น
กลุ่มคนสำคัญที่เข้ามาผลักดันฟุตบอลในสหรัฐฯในฐานะแฟนบอล คือผู้อพยพเชื้อสายลาตินอเมริกัน.. คนเหล่านี้มีสถานะไม่ต่างจากฟุตบอลในอเมริกา นั่นคือกลุ่มคนชั้นสอง เป็นเพียงชนชั้นแรงงาน ไม่ได้รับการยอมรับในสังคมทั่วไป ต้องเผชิญหน้ากับการถูกเหยียดในฐานะคนนอก ถูกมองว่าด้อยกว่าอยู่เสมอ
คนเชื้อสายลาตินฯไม่เป็นที่ต้อนรับมากนัก ณ สนามกีฬา โดยเฉพาะทางตอนเหนือของสหรัฐฯ มีกรณีที่ชาวลาตินตกเป็นเหยื่อถูกทำร่างกายขณะเดินทางหรือระหว่างชมเกมกีฬาอยู่บ่อยครั้ง
พวกเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รับความสุขในการชมเกมกีฬาในสนาม ทั้งที่หากมองถึงลักษณะนิสัยความชื่นชอบในเกมกีฬา ชาวลาตินถือว่าไม่แพ้ชนชาติใด ดูได้จากความบ้าคลั่งในเกมลูกหนังของคนในทวีปอเมริกาใต้
ฟุตบอลที่ไม่ได้รับความนิยมจากชาวอเมริกันจึงเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มคนที่ถูกหมางเมินในวงการกีฬา พวกเขาได้สถานที่แสดงออกตัวตน ความรักที่มีต่อกีฬา ผ่านเกมลูกหนัง.. บวกกับรากฐานของชาวลาตินต่อกีฬาฟุตบอล ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มคนสำคัญที่ผลักดันฟุตบอลในสหรัฐฯจนเริ่มได้รับความนิยม
“ผมคิดว่าแฟนบอลจำนวนมากมีเชื้อสายชาวอเมริกากลางและอเมริกาใต้อยู่ในตัว เราต้องการแสดงออกผ่านการเชียร์ฟุตบอล ผ่านบทเพลงที่เราร้องออกไป” เจย์ อิกกิเอล แกนนำกองเชียร์ของสโมสรดีซี ยูไนเต็ด เล่าถึงโอกาสที่สนามฟุตบอลมอบให้คนเชื้อสายลาตินอเมริกันได้แสดงออก
“เราอยู่กันเป็นครอบครัว.. เท่าที่ผมรู้มีแฟนบอลอย่างน้อย 14 สัญชาติอยู่ในกลุ่มของเรา และเราร่วมกันสร้างบรรยากาศฟุตบอลดีๆให้เกิดขึ้น เพราะเราไม่สนว่าคุณจะมาจากไหน เป็นชาวโบลิเวีย, เป็นเม็กซิกัน, เป็นอเมริกัน รวยหรือจนก็ไม่สำคัญ ถ้าคุณมีความรักให้กับกีฬาฟุตบอล เราคือพวกเดียวกัน”
หลายสโมสรในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ดีซี ยูไนเต็ด, แอลเอ กาแล็คซี, แอลเอ เอฟซี, ซาน โฮเซ เอิร์ธเควกส์ หรือ ฮุสตัน ไดนาโม ล้วนมีฐานแฟนบอลหลักเป็นชาวลาตินอเมริกัน
พวกเขานำวัฒนธรรมลาตินมาใช้ผ่านกีฬาฟุตบอล เช่น การร้องเพลงเชียร์เป็นภาษาสเปน แทนที่จะใช้ภาษาอังกฤษ สร้างเสน่ห์ให้กับกีฬาฟุตบอลในสหรัฐฯ.. แม้ฟุตบอลจะไม่ใช่กีฬาระดับหัวแถวที่คนอเมริกันจะให้คุณค่าหรือความสนใจ แต่กับคนจำนวนไม่น้อย ฟุตบอลมีความหมายอย่างมากต่อชีวิตพวกเขาที่อยากจะผลักดันให้กีฬาชนิดนี้เป็นที่ยอมรับของสังคมอเมริกา
“ผมคิดว่าฟุตบอลมีความหมายมากสำหรับผม ในฐานะที่ผมเป็นทั้งเม็กซิกันและอเมริกัน ผมได้เจอคนดีๆทั้งสองสัญชาติ ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน” เอริค ซานติอาโก แฟนบอลเชื้อสายลาติอเมริกันรายหนึ่ง กล่าวถึงสิ่งที่เขาได้รับผ่านกีฬาฟุตบอล
กีฬาสำหรับทุกคน
ความเหลื่อมล้ำในสังคมอเมริกาไม่ได้มีแค่เรื่องเชื้อชาติเท่านั้น แต่เรื่องเพศคือสิ่งที่ปัญหา ในเรื่องของสิทธิการแสดงออกในประเทศนี้เช่นกัน โดยเฉพาะกับเพศหญิงที่ได้สิทธิเท่าเทียมกับเพศชายเมื่อปี 1972 ที่ผ่านมาเท่านั้น
ด้านกีฬา คืออีกเรื่องที่ผู้หญิงได้รับผลกระทบในหลากหลายกีฬา พวกเธอต้องเผชิญกับภาวะชายเป็นใหญ่ ไม่ใช่แค่ในสนามแข่งขัน แต่รวมถึงบนอัฒจันทร์ ผู้ชายกลายเป็นหัวแรงหลักในการแสดงออกถึงการเชียร์ กำหนดแนวทางตัวตนของกลุ่มกองเชียร์
สำหรับผู้หญิงยุคใหม่ พวกเธอต้องการที่จะแสดงออกถึงความรักต่อเกมกีฬา โดยไม่อยู่ภายใต้ร่มเงาของผู้ชาย พวกเธอตามหาโอกาสที่จะได้ร้องเพลงเชียร์กีฬาอย่างสุดเสียง และไม่ถูกเหยียดเรื่องเพศสภาพ ซึ่งกีฬาที่พร้อมเปิดรับผู้หญิง คือ ซ็อคเกอร์
รากฐานความนิยมของกีฬาฟุตบอลในเพศหญิงชาวอเมริกัน ต้องย้อนไปถึงยุค 70’s ที่กีฬาฟุตบอลไม่เป็นที่นิยมในเพศชาย จึงถูกผลักให้เป็นกีฬาของผู้หญิง.. ขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่ถูกจำกัดโอกาสในการเล่นกีฬาชั้นนำของสหรัฐฯจึงรับเอาฟุตบอลมาเป็นกีฬาประจำของพวกเธอด้วยความเต็มใจ
ปัจจุบัน วงการฟุตบอลหญิงของสหรัฐอเมริกา คือหมายเลข 1 ของโลก จึงไม่น่าแปลกที่พวกเธอจะหันมาติดตามกีฬาฟุตบอลอย่างจริงจัง แต่ไม่เพียงเท่านั้น พวกเธอยังเป็นแฟนตัวยงของฟุตบอลลีก MLS มีสโมสรเชียร์แบบเป็นจริงเป็นจัง
เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา มีการศึกษาฐานแฟนคลับของ MLS ซึ่งพบว่า แฟนบอลที่เข้าสนามเป็นเพศหญิงมากถึง 42 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกัน แฟนบอลผู้หญิงยังให้การติดตาม MLS ผ่านช่องทางออนไลน์สูงถึง 52 เปอร์เซ็นต์ เยอะกว่าเพศชายเสียด้วยซ้ำ
Forbes สื่อด้านธุรกิจชื่อดัง ได้มองว่าหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงหันมาติดตามกีฬาฟุตบอลเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก MLS ตั้งใจใช้เรื่องราวของผู้หญิงในการสร้างฐานการตลาด เพราะไม่มีลีกกีฬาไหนในสหรัฐฯที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิง
MLS จึงหยิบข้อได้เปรียบตรงนี้ จัดแคมเปญ กิจกรรมต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้รับโอกาสไม่ต่างจากผู้ชาย ดึงดูดให้พวกเธอเข้ามาเป็นของกีฬานี้ และในปัจจุบัน ฟุตบอลคือกีฬายอดนิยมของผู้หญิงในสหรัฐฯเป็นที่เรียบร้อย (หากใครนึกภาพไม่ออก ให้คิดภาพถึงความนิยมที่หญิงไทยมีต่อกีฬาวอลเลย์บอล)
ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ได้โอกาสเป็นส่วนหนึ่งกับเกมกีฬาเพราะฟุตบอล.. แต่เพศทางเลือกหรือ LGBT ได้รับโอกาสสำคัญกับการมีที่ยืนผ่านกีฬาลูกหนังเช่นเดียวกัน ซึ่งหากพูดให้เห็นภาพอีกครั้ง ก็เหมือนกับที่ชาว LGBT ของไทย มีที่ยืนเสมอในกีฬาวอลเลย์บอลนั่นเอง
เรื่องราวเริ่มต้นจากสโมสรมินนีโซตา ยูไนเต็ด เอฟซี พวกเขาต้องการแสดงจุดยืนว่า ฟุตบอลคือเกมกีฬาที่ใครๆก็เป็นแฟนคลับได้ รวมถึงเพศทางเลือก ทำให้ในช่วงเดือน Pride Month (เดือนของการแสดงออกของกลุ่นคนเพศทางเลือก) พวกเขาทำแคมเปญเชิญชวนให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าสนาม
พวกเขาแสดงออกผ่านป้ายเชียร์ขนาดใหญ่ ด้วยธงสีรุ้ง หรือเสื้อแฟนคลับที่มีสีรุ้งเป็นส่วนประกอบ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกคนได้รับการต้อนรับที่นี่ ทำให้สโมสรแห่งนี้มีแฟนบอลที่เป็นเพศทางเลือกจำนวนมาก หรือในแง่หนึ่งต้องพูดว่า แฟนบอลของสโมสรแห่งนี้ กล้าจะเดินเข้าสนามบอลเพื่อบอกว่า เราคือเพศทางเลือก และเรารักฟุตบอล ไม่ต่างจากผู้ชาย
หากเปรียบเทียบกับกีฬาอื่นในมินนีโซตา ไม่เคยมีการทำแคมเปญชวนแฟน LGBT เข้าสนาม ทั้งที่รัฐแห่งนี้ คือรัฐแรกๆในสหรัฐอเมริกาที่อนุญาตให้เพศเดียวกันแต่งงานกันได้ นั่นหมายความว่า ในรัฐมินนีโซตามีเพศทางเลือกจำนวนมากที่ต้องการพื้นที่แสดงออกในสนามกีฬา
“เรามองกลับถึงจุดเริ่มต้นของเรา.. เป้าหมายสำคัญคือเราพยายามสร้างสโมสรกีฬาที่ต้อนรับทุกคนในสังคม และเราเชื่อว่าฟุตบอลสามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้” ตัวแทนจากสโมสรมินนีโซตา ยูไนเต็ด เอฟซี กล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2018 คอลลิน มาร์ติน (Collin Martin) อดีตกองกลางของสโมสรแห่งนี้ ออกมาเปิดเผยว่า เขาเป็นเพศทางเลือก ซึ่งเขาคือนักกีฬาคนเดียวในช่วงเวลานั้นที่เล่นกีฬาใน 5 ลีกใหญ่ของสหรัฐฯ และกล้าออกมายอมรับว่าเขาเป็นเพศทางเลือก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ร็อบบี โรเจอร์ส (Robbie Rogers) อดีตนักเตะทีมชาติสหรัฐอเมริกา เคยออกมาประกาศตัวว่าเป็นเพศทางเลือกเมื่อปี 2013 สมัยเล่นให้กับแอลเอ กาแล็คซี
“ก่อนหน้านี้ แฟนบอลต้องการให้ผมมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการสนับสนุน LGBT ซึ่งผมดีใจมาก แต่บอกใครไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมยังไม่ได้เปิดตัว”
“ผมมาคิดว่าผมคงเสียใจ ถ้าผมต้องรอให้ตัวเองเลิกเล่น ถึงจะบอกได้ว่า ผมเป็นเกย์ ซึ่งการที่ผมพูดไปตอนนี้ ทำให้ผมตั้งหน้าตั้งรอคอยที่จะฉลองกับแฟนๆของเรา ในช่วงเดือน Pride Month” มาร์ติน กล่าว
“ในความเป็นจริง แฟนบอลของเราไม่ได้มีแค่กลุ่ม LGBT แต่เรายังมีทั้งชนชั้นแรงงาน, ผู้ลี้ภัย, ผู้อพยพ, ผู้หญิง ที่รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน.. เราพยายามร่วมกัน ช่วยกันผลักดันกีฬานี้เพื่อแสดงออกถึงตัวตนของเรา”
“เราต้องการทำให้รู้ว่า ฟุตบอลต้อนรับทุกคน และเราต้องแสดงให้เห็นว่ามันเกิดขึ้นจริง และไม่ได้หมายว่า เราแค่ต้อนรับคุณ แต่เราอยากให้คุณมาเป็นผู้นำ แสดงออกตัวตนของคุณ” เวส เบอร์ไดน์ แฟนบอลของมินนีโซตา กล่าว
จากกีฬาชั้นสอง สู่เกมการแข่งขันชั้นหนึ่ง
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ฟุตบอลหรือซ็อคเกอร์ในสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่ของตนเองได้ดีมาตลอด แม้จะไม่ใช่กีฬายอดนิยมติดลมบน เป็นกีฬาหัวแถว.. แต่เกมลูกหนังเปิดรับให้ผู้คนที่ไร้จุดยืนในฐานะแฟนกีฬาได้แสดงออกตัวตนตามที่ใจปรารถนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟุตบอลมีความหมายและสร้างจุดยืนนี้ร่วมกลับแฟนบอลมาโดยตลอด
แต่ฟุตบอลในอเมริกากำลังจะเปลี่ยนไป เพราะเกมลูกหนังเริ่มสร้างความนิยมติดตลาด ผู้คนหันมาสนใจ หันมาลงทุน จำนวนสโมสรฟุตบอลใน MLS กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับมูลค่าของลีก
“MLS สร้างความนิยมจากความหลากหลายของกลุ่มแฟน ซึ่งทำให้ลีกมีความน่าสนใจมาก ซึ่งในมุมมองของเรา จุดเด่นตรงนี้ เหมาะสมกับกีฬาฟุตบอล” SeatGreek แบรนด์ด้านธุรกิจ แสดงความเห็นถึงลีกฟุตบอลอันดับหนึ่งของประเทศ
กลุ่มแฟนกีฬาซึ่งไม่เป็นที่ต้องการจากกีฬาชนิดอื่นกลับกลายเป็นจุดเด่นให้ฟุตบอลในสหรัฐฯสร้างตัวตน ดึงดูดความน่าสนใจจากชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากกับการขยับก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในอเมริกันเกมส์ เพราะหากลีกกีฬาไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชาวอเมริกันจะหมางเมินลีกกีฬานั้น เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า การรับชมกีฬาประเภทนั้น จะให้สิ่งที่แตกต่างแก่พวกเขาอย่างไร
ขณะที่ยอดผู้ชมในสนามของ MLS เติบโตอย่างต่อเนื่อง.. 5 ฤดูกาลหลังสุด MLS มียอดผู้ชมเฉลี่ยมากกว่า 20,000 คน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยทำได้มาก่อน
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฟุตบอลจะก้าวขึ้นไปเทียบกับเบสบอล, บาสเก็ตบอล หรือ อเมริกันฟุตบอล แต่ฟุตบอลคือกีฬาสำหรับทุกคน และนั่นคือเหตุผลที่ฟุตบอลจะเติบโตได้อีกมากหลังจากนี้ ผมดีใจที่ได้เห็นฟุตบอลเติบโตอย่างรวดเร็วในอเมริกา” โรแบร์ ปิแรส อดีตนักฟุตบอลชื่อดังที่เป็นหนึ่งในแบรนด์แอมบาสเดอร์ของฟุตบอลในสหรัฐฯ กล่าวกับนิตยสาร Forbes
ปัจจุบันค่าเฉลี่ยผู้ชมในสนามของ MLS แซงหน้า NBA และ NHL เป็นที่เรียบร้อย ขณะเดียวกัน ค่าเฉลี่ยของ MLS ตามหลังค่าเฉลี่ยผู้ชมของลีกเอิง ฝรั่งเศส ประมาณ 1,000 คนเท่านั้น เรียกได้ว่า ความนิยมของกีฬาฟุตบอลในสหรัฐอเมริกาพัฒนาเข้าใกล้ความเป็นกีฬาชั้นนำของประเทศอย่างเต็มตัว
ทุกวันนี้ ธุรกิจกลายเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดัน MLS และฟุตบอลในสหรัฐอเมริกา.. นักธุรกิจหลายกลุ่ม (รวมถึง เดวิด เบ็คแฮม อดีตนักฟุตบอล ที่เคยเป็นดาวดังของลีกในช่วงกลางยุค 2000’s ถึงต้นยุค 2010’s) หันมาสร้างทีมฟุตบอลในสหรัฐฯ, ค่าลิขสิทธิ์ ค่าตั๋ว ค่าขายของที่ระลึก พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ, นักฟุตบอลระดับโลก ตบเท้ามาเล่นในสหรัฐฯไม่ขาดสาย รวมถึงสโมสรฟุตบอลจากยุโรปไปแข่งขันอุ่นเครื่องเพื่อขยายตลาดและสร้างความนิยม
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ล้วนมีรากฐานมาจากแฟนฟุตบอล ที่ครั้งหนึ่งเคยไม่มีที่ยืนในเกมกีฬา และได้เกมลูกหนังเปิดโอกาสให้พวกเขาแสดงออกตัวตนของตัวเองจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างความนิยมให้กับ “ซ็อคเกอร์” ในปัจจุบัน
ฟุตบอลคือกีฬาสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเรียกมันว่า ฟุตบอล หรือ ซ็อคเกอร์ นี่คือความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป