
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคข่าวสาร ซึ่ง “รายงานข่าวดิจิทัล” ประจำปี ของ “สถาบันรอยเตอร์ว่าด้วยการศึกษาสื่อสาร มวลชน” เผยแพร่เมื่อ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
รายงานระบุว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การบริโภคข่าวสารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะข่าวทางโทรทัศน์และออนไลน์ แต่วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-19 เป็น “ตัวเร่ง” ให้ธุรกิจข่าวสารรูปแบบเดิมเปลี่ยนไปเป็นสื่อดิจิทัลและสื่อเคลื่อนที่ (โมบาย) เร็วขึ้นกว่าที่เคยคาดไว้
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นขณะที่สื่อกำลังเผชิญกับผลพวงของ “การปฏิวัติดิจิทัล” อยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งการที่ผู้คนหันมาใช้ “สมาร์ทโฟน” เป็นช่องทางหลักรับข่าวสารแบบอินเตอร์เฟซมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้สื่อรูปแบบเดิมทั่วโลกต้องลดทีมงานลงเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพราะรายได้หลักจาก “ค่าโฆษณา” ลดลงอย่างฮวบฮาบ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ ผู้รับข่าวสารก็มีความวิตกกังวลมากขึ้นเช่นกันในเรื่องข่าวสารที่ผิดและบิดเบือน โดยสื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่ “เฟซบุ๊ก” และ “วอทส์แอพ” ถูกชี้ว่าเป็นช่องทางหลักเผยแพร่ข่าวปลอมหรือ “เฟกนิวส์” ส่งผลให้ผู้คนเชื่อถือข่าวน้อยลง เช่น ในฮ่องกงในช่วงที่มีการประท้วงใหญ่ต่อต้านอิทธิพลจีน
รายงานระบุว่าความหวังของสื่อก็คือมีผู้คนพร้อมจ่ายเงินซื้อข่าวออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่อาจนำไปสู่ “ความไม่เสมอภาคด้านข้อมูลข่าวสาร” เพราะคนมากมายไม่มีเงินซื้อข่าวสารคุณภาพสูงที่ราคาแพงได้
นอกจากนี้ ยังอาจเกิดกระบวนการ “ผู้ชนะกินรวบ” โดยผู้สมัครรับบริการข่าวออนไลน์หรือแพ็กเกจรวมในสหรัฐอเมริกากว่าครึ่ง ใช้บริการสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง “นิวยอร์ก ไทมส์” หรือ “วอชิงตันโพสต์” ส่วนในอังกฤษผู้คนก็สมัครใช้บริการข่าวออนไลน์จากสื่อยักษ์ใหญ่ “ไทมส์” หรือ “เทเลกราฟ” มากที่สุดเช่นกัน ทำให้สื่อขนาดเล็กลำบาก
ส่วนกรณีที่มีผู้ทำนายว่าต่อไป “ข่าวในรูปแบบวิดีโอ” (Video News) จะยึดครองตลาดข่าวนั้น รายงานระบุว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะจากผลสำรวจพบว่าในหลายประเทศ รวมทั้งอังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ ประชาชนที่อายุต่ำกว่า 35 ปี ยังนิยมอ่านข่าวมากกว่าดูวิดีโอข่าวทางออนไลน์
วิวัฒนาการของธุรกิจขายข่าวยังมีอะไรให้ติดตามใกล้ชิด แต่ดูเหมือนว่าข้อสรุปอย่างหนึ่งก็คือ “สื่อสิ่งพิมพ์” กำลังจะสูญพันธุ์!
บวร โทศรีแก้ว





